ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : ฝากข้อความครับ

(D)
ผมต้องไปต่างประเทศ

กลับกลางสัปดาห์หน้าครับ

ขอบคุณมากครับ


โดยคุณ CURFEW (4.7K)  [พ. 04 ต.ค. 2549 - 19:02 น.]



โดยคุณ เนตรชนก (3.7K)  [อา. 05 ก.พ. 2555 - 16:09 น.] #2077164 (1/9)


(N)
อออ

โดยคุณ nooing (28.4K)  [ศ. 25 ม.ค. 2556 - 20:35 น.] #2655835 (2/9)
Blog 2 การเริ่มต้นอันยากลำบาก

เจอะปัญหาใหญ่ซะแล้ว ทำไงได้ เรามันต้นทุนต่ำนี่หว่า ((แอบเศร้าใจ))……………………. ToT
พระไม่มี อุปกรณ์ไม่มี โปรแกรมไม่มี ตายล่ะหว่า จะซื้อใหม่หมด ก็ท่าจะไม่ไหวน้อ….สมัยนั้น กล้องถ่ายรูปติจิตอลธรรมดาสามัญเลยก็หมื่นกว่าบาทแล้ว ตรูจะเอาเงินที่ไหนล่ะ ลำพังเลี้ยงครอบครัวไปวัน ๆ ก็แทบจะห่อข้าวไปกินแล้ว ((แอบเวอร์นิดนึงนะ เพือให้น่าสงสาร ))) จริง ๆ ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก แต่แค่ไม่แน่ใจกับการลงทุนเลย เพราะเราไม่มีพื้นฐานอะไรเลยตะหากกกก

พอนึกแล้วก็กลุ้ม เอาไงดีวะกับเวปนี้ เอาวะไหน ๆ ก็ไหน ๆ เอาล่ะ ไม่มีอะไรขาย ก็เป็นคนซื้อก็ได้ ก็เริ่มประมูลมันซะเลย ก็ไล่ดูไปเรื่อย ๆ ดูแล้วดูอีก ดูแล้วดูอีก หาไปเรื่อย ๆ ซึ่งสมัยก่อนระบบของเวปยังไม่ดีเท่านี้นะ การหาก็จะไล่เรียงไปทีละกระดานไปเรื่อย ๆ จุดมุ่งหมายไม่มีอะไรมาก หาของถูก ๆ ก่อน ((ก็ตามฐานนะล่ะเนาะ)) ดูไปดูมาหลาย ๆ วันเข้า ก็ไปเจอะเอาพระองค์หนึ่ง ถูกใจนะ ราคาก็พอได้อยู่ คนขายก็ดูท่าเครดิตดี มีความรู้มากมายเห็นมีไปตั้งกระทู้ให้ความรู้มากมายเลย ((คนเก่า ๆ คงจำได้ดี เจ้าของฉายา “มะพร้าวห้าวขายสวน”))))) นั่นเอง ไม่พาดพิง และไม่เอ่ยชื่อนะ คนใหม่ ๆ อาจจะไม่รู้จักก็ผ่าน ๆ นะครับ พยายามจะไม่พาดพิงใคร ปัจจุบัน user นี้ก็หลุดพ้นไปจากเวปนี้แล้ว………….คนเก่า ๆ น่าจะรู้ดีว่าด้วยเหตุใด

เหรียญสังฆาฏิเล็กเจ้าคุณนร เคาะเดียว-------โอ้ว แม่เจ้า เหรียญแรกในชีวิตของเราที่จะซื้อผ่านเวป นั่งเล็งอยู่เป็นนานสองนาน ตัดสินใจ ตัดสินใจ ตัดสินใจ พอตัดใจได้ ก็คลิ๊กเลย 550 บาท มือสั่นเล็กน้อย พอคลิ๊กไปแล้วก็แอบมางงตัวเองอีก อ้าววววว ไม่เห็นมีอะไรขึ้นมาเลย แล้วตรู จะจ่ายเงินยังไงล่ะทีนี้ คลิ๊กไปคลิ๊กมาถึงบางอ้อ อ้าวววว มานนต้องรอ 24 ชั่วโมงนี่หว่า ร้องเฮ้ยยย อะไรวะ อยากจ่ายตังค์เท่านี้ ดันทะลึ่งให้มารอเวลาอีก ตอนหลังก็มาทราบว่าเป็นระบบการประมูลมาตรฐานเลยทีเดียวเชียว เพราะเห็นว่า อีเบย์ก็เป็นประมาณนี้เลย เอาน่า รอก็รอ ไหน ๆ ก็พลาดท่าเคาะไปแล้ว
รอ
รอ
รอ
ผ่านไป 24 ชม. ENDING สรุปว่า ……………. เย้ ๆ เราได้เว้ยยยย มีชื่อเสียงเรียงนาม เบอร์บัญชีส่งมาตามระบบเลย เราก็คนมีเครดิตคนหนึ่งทีเดียวเชียว ออกไปโอนเงินให้เลยทันที พร้อมกับโทรแจ้งการโอนทันที ปลายสายก็รับทราบดีมาก แต่มีเรื่องขัดเคืองใจนิดนึง นะ………………ไม่เอาดีกว่าไม่อยากเล่า มันไม่อยากพาดพิงใครแล้วกัน ผ่าน ๆๆๆๆๆๆ

มาต่อกันนะ พอได้เหรียญแรก พร้อมกับคำชมแรกมาใน feedback “เชื่อถือได้ครับ” และก็มีเลข 1 ต่อท้ายชื่อเลย ดูดีมาก เป็นความประทับใจแรกนะครับที่ได้เห็นแบบนี้ พอได้ครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อไป ก็ไล่ประมูลไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ได้สนใจเรื่องพระเท่าไหร่ เอาประมาณว่าอยากได้ และราคาไม่แพงเป็นใช้ได้ การจ่ายเงินแต่ละครั้งมันก็จะสุขใจนะเวลาของส่งมาถึงบ้าน พร้อมกับมีเลขท้ายชื่อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อันนี้เข้าใจเลยสำหรับสมาชิกใหม่ ที่ชอบมาตั้งกระทู้โวยวายเรื่องไม่ได้ feedback กัน ((สมัยก่อนถ้าไม่ใส่ให้ มันก็จะไม่ได้นะครับ ไม่เหมือนสมัยนี้ มีเวลา 30 วัน มันก็จะเป็นคำชมโดยระบบให้อัตโนมัติ ผมคิดว่าของผมก็คงหายไปหลายรายการอยู่นะครับที่ไม่ได้รับ feedback)))))

ผมก็ประมูลไปหลายรายการอยู่นะทีนี้แหละจะมาเล่าต่อ ประสบการณ์ในการตั้งกระทู้ขายพระครั้งแรกเลย ตะลึง ตะลึง ตึงตึงตึง ตื่นเต้น ๆๆๆๆๆๆๆ
ประมูลมาทั้งหมด 10 รายการ หมดเงินไป 10,821 (((หนึ่งหมื่นแปดร้อยยี่สิบเอ็ดบาทถ้วน)))) ใช้เวลา 1 เดือนพอดีเลยย มาคิดดู ตรูบ้าหรือเปล่าวะ เงินก็ไม่ค่อยจะมี เสือกทะลึ่งซื้อพระมาซะเยอะแยะ ฮ่าฮ่าฮ่า

***มันจะด้วยเหตุบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบนะ หรือว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิต อยากจะให้เราได้แจ้งเกิดในวงการนี้ขึ้นมาได้ ((แอบงง) พอดีกับที่ทำงานเค้าได้สั่งซื้อกล้องดิจิตอล มาไว้ใช้ในสำนักงานพอดีเลย หุหุหุ เสร็จโจรล่ะมรึง งานนี้ ที่สำคัญผมได้รับมอบหมายให้เป็นคนเก็บกล้องไว้เสียด้วยยยยย พับผ่าซิ อะไรมันจะเบ็ดเสร็จขนาดน้านน
((ทุกคนที่อ่านสัญญานะว่าจะไม่ไปบอกใคร เรื่องต่อไปนี้ หุหุหุ)) ผมทำไงหรือครับ ((เขินว่ะ))

ก็แอบเอากล้องนั่นแหละกลับบ้านเลย อิอิอิ ใส่กระเป๋ามาทุกวัน จำได้เลยนะว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมขยันทำงานที่สุดในชีวิตเลย เพราะไม่เคยได้หยุดงานเลย เพราะถ้าหยุดเกิดทะลึ่งมีคนมาถามหากล้อง หรือจะเอาไปใช้ เรื่องมันก็จะแดงขึ้นมานะซี่ พอได้กล้องมาวันแรก ก็เอาถ่ายเลย แชะ ๆๆๆๆๆ ใช้เวลาศึกษานานมาก จำได้ว่าหลายวันเลย เพราะอะไรก็ไม่เป็นเลย จะแต่งภาพยังไงก็ทำไม่ได้ ถ่ายยังไงก็ไม่ชัดซะที (((อะไรของมันวะ))) สรุปก็ได้ภาพมาตอนนั้นคิดว่าดีสวดยวดดดด ที่สุดแล้ว ((ภาพประกอบด้านล่าง เห็นแล้ว ยังอดขำตัวเองไม่ได้ ภาพแบบนี้ขายได้ยังไงวะ ฮ่าฮ่าฮ่า)) พอทำภาพได้แล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาอันสำคัญกับการเริ่มต้นอันยากลำบากแล้ววววววววว

----------------------------------------------------------ลงขายรายการแรก-----------------------------------------------------

โฮ้แม่จ้าวววววววว ++++ มาเลย ***************เหรียญหลวงปู่โต๊ะ 2514 สวยมาก ๆ ครับ*****************
เป็นเหรียญออกวัดบ้านน้อย สภาพสวยนะในสายตา แต่ภาพถ่ายอุบาทว์ชาติมาก ฮ่าฮ่าฮ่า ตั้งราคาเลยครับพี่น้อง 300 บาท (อ่านว่า = สามร้อยบาทถ้วน) มือสั่นมาก ๆ เลย เพราะเป็นรายการแรก และที่สำคัญตอนนั้น “ลงขายฟรี” ครับ นึกในใจเวปดี ๆ แบบนี้ก็มีในโลกด้วยยยยยย ((ส่วนปัจจุบันยังไงไม่รู้นะ คิดเอาเองเหอะ อย่าเอาผมไปเกี่ยวข้องนะจ๊ะ ^o^X )) ลืมเล่าไปเรื่องกับความยากลำบาก คุณเชื่อไหมครับ เหรียญแรกนี้ ถ่ายภาพทำรูปตั้งแต่กลับมาจากที่ทำงานประมาณ 6 โมงเย็น กว่าจะได้ลงกระดาน คุณคิดว่าเวลาเท่าไหร่ ให้ทายยยยเล่น ๆ

ติ๊กต๊อก
ติ๊กต๊อก
ติ๊กต๊อก

-----เฉลยดีกว่า---- 02.06 น. ของวันใหม่ *****พระเจ้าช่วย***** นี่มันอะไรกันนักหนาวะ ใช้เวลาสำหรับรายการแรกไป 8 ชั่วโมง แล้วได้ภาพมาแบบนี้อ่ะนะ บัดซบจริง ๆ เลย __oo__ เหมือนนั่งรถจากกรุงเทพไปยันลำปางเลยนะนั่น

สรุปก็ลงขายครับ แล้วก็ยังนอนไม่หลับนะครับ เพราะตื่นเต้นมากมายเหลือเกิน นั่งรอ Refresh หน้ากระดานไปเรื่อย ๆ เผื่อจะมีใครมาเคาะให้ชื่นใจบ้าง เราก็ รอ รอ รอ รอ รอ จนในที่สุดก็ไม่มีใครมาเลย ผล็อบบหลับไปกับหน้าจอนั่นแหละ ตื่นมาก็รีบตาลีตาเหลือกมาดูหน้าจออีก ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยยยย พอเช้ามาก็ไปทำงานครับ แต่ไม่มีจิตใจทำงานเลย อยากกลับบ้านตลอดทั้งวันเลย เพราะอยากจะดูว่ามีใครมาซื้อพระของเราหรือเปล่า ((สมัยก่อนตอนเหตุการณ์นี้ ไม่ได้มีโทรศัพท์ SmartPhone ให้มาดูเนตนะครับ ที่ทำงานก็ไม่ให้ใช้ อินเตอร์เนต อีก สรุปใจจดจ่อมากอยากกลับบ้านนนนนนนนนน มากกกกกกกกกกก พอเลิกงานก็รีบบึ่งกลับบ้านทันทีเลย มาถึงบ้านแทบไม่ต้องทำอะไร เปิดเครื่อง ๆ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เข้าเวปปปปปปปปป เข้าไปดูรายการพระที่ลงไว้ ก็ต้องตกตะลึงงงสุดดดด
.
.
.
.
.
.
หน้าจอว่างเปล่าเหมือนเดิม ((((อ้าววววว มันจะตกตะลึงทำไมวะ ฮ่าฮ่าฮ่า)))) สรุปว่ารายการแรกสำหรับวันแรก เหลวไม่เป็นท่าเลย แง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ คืนนี้ก็เหมือนเดิม เฝ้าดูรายการตลอดเวลา และก็ค้นหาพระเท่าที่พอจะดูออกว่าแท้มาทดสอบถ่ายภาพ และทำภาพศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ จนผล็อยหลับไปเหมือนเดิม เช้าตื่นมางัวเงีย ๆ ลนลานมาเปิดหน้าจอก่อนเพื่อนเลย รีบเข้ามาดูหน้าเวป และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้นจนได้ สวรรค์สร้างแท้ ๆ

เฮ้ย ๆๆๆๆๆๆ มีคนมาเคาะพระของเราได้ ได้แล้ว ๆๆๆๆ 300 บาท ยะฮู้ ๆๆๆๆๆๆๆ สุดบรรยายเลยจริง ๆ พระฟรี ๆ ที่ค้นเจอในบ้าน ขายได้ตั้ง 300 บาท โอ้ยยยย ฝันที่เป็นจริงแท้ๆ วันนั้นทั้งวันนั่งทำงานยิ้มตลอดเลย 300 บาท มันกินข้าวได้หลายมือเลยนะนั่น ((พูดให้น่าสงสารอีกแร่ะ)) คืนนั้นหลับฝันดีจริง ๆ ตื่นเช้ามาก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันอันดับต่อมาอีก พระเจ้าช่วยกล้วยบวชชี มีคนไล่ราคาไปจบที่ **************650 บาท ขยี้ตาร้อยหน พระฟรี ตั้งขาย 300 บาท มีคนไล่ราคาไป 650 บาท นี่มันสวรรค์ชัด ๆ ((เกร็ดนี้ต้องขอบคุณท่าน phubeto คนที่ซื้อพระของผมเป็นรายการแรกในเวปนี้เลย))) เริ่มมองเห็นอนาคตอันสดใสแล้วครับ แต่ก็ยังต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกมากมายนัก ซึ่งเรื่องก็ต้องดำเนินต่อไป………………………….ต่อไป


เป็นไงครับสำหรับ Blog 2 นี้ การเริ่มต้นอันยากลำบาก
หวังว่าคงไม่เบื่อกันก่อนนะครับ พบกันใหม่ในตอนต่อไปครับ ก็เช่นเดิมครับ ชอบกด LIKE ใช่กด LOVE ให้ด้วยครับ

โดยคุณ nooing (28.4K)  [ส. 26 ม.ค. 2556 - 18:58 น.] #2657027 (3/9)
Blog 3 แรงผลักดันของชีวิต (Part 1)

ถึงตอนนี้ผ่านสิ่งที่เป็นการเริ่มต้นได้สำเร็จซะที ((ปาดเหงื่อ)) 8 ชั่วโมงกับการทำภาพพระเพื่อลงขายครั้งแรก 3 วันกับการรอเคลียร์เรื่องราวทั้งหมด รับเงินโอนเข้ามา ((ดีใจสุด ๆ กับอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ครั้งแรก)) ส่งพระให้ลูกค้าเป็นอันเรียบร้อยดี โล่ง.....มาก เราก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ก็คิดว่าคงจะไปได้ด้วยดี แต่ปัญหาอุปสรรคของเราก็ยังไม่หมดไปหรอกนะ ((ก็ตอนนี้ว่าจะดราม่า ก็เอาซะหน่อย))

พระไม่มีจะขายแล้ว หาที่ไหนก็ไม่เป็น จะซื้อเข้าเงินก็จมอยู่ ด้วยราคาที่ซื้อเข้ามายมันเป็นราคา Real Price อยู่แล้ว ((Real Price = ราคาที่แท้จริงตามตลาด หลังจากหักค่าความเสี่ยงออกไปหมดแล้ว))) หมายความว่า ไม่ว่ายังไงก็คงหาคนซื้อพระราคานี้หรือ ราคาที่เราจะทำกำไรระยะสั้น........คงเป็นไปได้ยาก ((ไหน ๆ ก็จบบริหารมาก็ขอใช้ศัพท์ที่เป็นวิชาการหน่อยนะ)) สรุปก็ต้องหนวดให้ยาว ๆ และพระทั้งหมดก็มาอยู่กับก๊ง นะครับ ((ศัพท์ในวงการที่หลายท่านคงรู้จักดี .....ฮ่า ฮ่า ฮ่า)) เชิญทุกท่านตามผมออกนอกเวปก่อนนะครับ มาฟังเรื่องราวต่อไปนี้ หุหุหุหุ

ให้นึกภาพตามนะครับ ขณะนั้น ดาวเคราะห์ร้าย (เสียงแอคโค่นะ )))))) ร้ายยยย ร้ายยยย เมฆดำ ราหู กำลังเคลื่อนเข้ามาครอบงำชีวิตของ nooing เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับคนในครอบครัว และตามด้วนเหตุเจ้าน้องขายตัวดี ก็ตกงานอย่างฉับพลัน เนื่องจากบริษัทเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด ทางบ้านก็เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจขึ้นมาอย่างร้ายแรง ((ไม่ขอลงลึกในรายละเอียดนะ)))

---แทรกคิวนิดสสส์นึง เจ้าน้องขายคนนี้เป็น ผู้ทีเสียสละอย่างใหญ่หลวง สำหรับชีวิตผมเลยนะ นึกถึงเรื่องตำนานรักดอกเหมยได้เลย ประเภท บ้านฐานะไม่ดี ถึงขั้นยากจน ((แง ๆ)) จึงต้องมีคนเสียสละ 1 คน ที่ต้องออกจากโรงเรียนแล้วมาทำงาน เพื่อส่งเสียคนทางบ้าน สำหรับบ้านผมก็เจ้าคนนี้แหละ ที่เสียสละให้ผมได้เรียนแทน ((ซึ้ง ๆๆๆๆๆ))---

ขณะนั้นผมก็เริ่มจะแย่มาก ด้วยเหตุที่ว่าเงินไม่ค่อยจะมีเลย สรุปต้องเอาพระที่เช่ามาทั้งหมดไปขายเลหลังให้กับคนอื่นไปจนหมด ขายแบบขาดทุนก็ต้องยอม เพื่อนำเงินมาพยุงฐานะทางบ้านไว้ และจะได้มีข้าวกินกัน นึกดูนะ คนทำงาน ออฟฟิศดี ๆ คนหนึ่ง ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ((ถึงขนาดนั้นเลยหรือวะ ไม่น่าเชื่อเนอะ แต่มันก็จริง)) จะกินอะไรก็ต้องคิดให้ดี เรียกได้ว่าประหยัดสุด ๆ ในชีวิตเลยก็ว่าได้ กรูผอม หัวโต ผมยาว นึกสภาพตอนนั้นแล้วทุเรศตัวเองสุด ๆ เลย

เหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ จะต้องมีการแก้ไขให้ผ่านพ้นไปให้ได้ สิ่งที่ผมคิดได้ตอนนั้น ก็คือ ต้องออกรถปิคอัพซักค้น เพื่อเอามาทำการค้าขาย โดยให้เจ้าน้องชายนี่แหละเป็นคนขาย แต่เรื่องเงินนี่ซิเรื่องใหญ่มาก ทำไงดี ข่วงนั้นเดินหารถมือสองตลอดเลย เพราะด้วยทุนที่มีไม่มากเลย ข้ามมมมม ไปนะ สรุปว่าผมก็ได้รับคำแนะนำจากคนรู้จัก ๆ กันนั่นแหละ ว่าได้รถมือสองมาคันนึงให้ผมไปดู พอผมไปดูก็พบว่าเป็นรถปิคอัพตอนเดียว สีดำ ยี่ห้อมาสด้าน สภาพภายนอกก็พอประมาณ ถามว่าดีใจไหม ก็ดีใจนะที่จะได้รถแล้ว

=== ราคาเท่าไหร่วะ นันท์
==== แสนเดียวพี่ ไม่แพงเลยครับ

เชื่อไหมตอนนั้นดีใจเนื้อเต้นเลย รถอะไรวะถูกชิบหายเลย แสนเดียว (((เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว แล้วมรึงมีเงินหรือไงวะ อ้าววว แป่ววววว) ชิบหายแล้ววว ตรูจะเอาเงินจากไหนวะเนี่ย ก็ไปปรึกษากันในครอบครัว หาทุกวิถีทางให้ได้ ตอนนั้น บัตรเครดิตมีเท่าไหร่ กดมาหมดทุกใบเลย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเหลือวงเงินแล้ว ...................สรุปรวบรวมเงินมากได้ 50,000 บาท จากให้แม่ไปหยิบยืมมาบ้าง รวม ๆ กับบัตรของเรา

แค่นี้ก็ยาวพอดูนะครับ สำหรับที่มาที่ไปของเรื่องนี้ คนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงงง ว่า เอ !!!! มันเป็นแรงผลักดันของชีวิตตรงไหนว่ะ เหตุการณ์นั้นจะเริ่ม ณ บัดนี้ เหตุการที่ผมต้องน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวเลย

พอเงินขาดผมก็นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งขึ้นมาทันทีเลย เป็นเพื่อนสนิททีเดียว ฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างดี ที่สำคัญนึกภาพตามนะครับ เพื่อนประเภทขี้โอ่ ๆ หน่อย ๆ เฮ้ย มีอะไรให้ช่วยเหลือบอกนะเว้ยยย ((เสียงเว่อร์ ๆ นิดนึง)) ผมก็เริ่มเลยยยนะ ((ด้วยความที่เราเป็นคนรักศักดิ์ศรีอย่างมาก แต่ครั้งนี้มันด้วยเหตุการณ์จำเป็นเหลือเกิน กำลังจะก้าวขึ้นหลังเสือ คงจะถอยไม่ได้แล้ว))) เอ่ยปากขอยืมเงินเพื่อนเลยครับ ((ใจมันเต้นตุ๊บตั๊บ ๆๆๆๆ บอกไม่ถูกเลยนะ เพื่อนมันก็ดีนะรักษาน้ำใจเราสุดยอดดดเลยย ขอเวลาคิดวันนึงนะ คืนนั้นนอนไม่หลับเลยยยยย จริง ๆ ฝันร้ายไปต่าง ๆ นา ๆ นั่งทอดอาลัยอยู่หน้าเวปนี้แหละ จนหลับไป................

ประมาณ 10 โมงกว่า ๆ เพื่อโทรเข้ามาทาง PCT ((ไม่ทราบมีใครจำได้หรือเปล่าว่าโทรศัพท์ PCT คืออะไร มันก็เป็นโทรศัพท์ไร้สาย ที่ใช้เบอร์เดียวกับเบอร์บ้านนั่นแหละ เป็นโทรศัพท์ที่ประหยัด ประมาณว่า ไม่มีปัญญาซื้อมือถือ ก็ใช้ PCT แทน))) หลายคนคงจำได้

### เฮ้ยยย กรู คงให้เงินมึงยืมไม่ได้ว่ะ ((อ้าววว เชี้ยยยยแล้วไหมล่ะ))) หน้าชา หูแดง โลกแมร่งงหมุนเลยยย กัดฟันนิดนึง แล้วเปล่งเสียงออกไป ------ทำไมล่ะ------ ((เสียงแบบว่าแผล่วเบามากกกกก ๆๆๆๆๆ))

### พอดีกรูเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่ที่ทำงานแล้ว เค้าบอกว่าไม่ควรให้ยืมว่ะ เพราะ.......................((เหตุผลทยอยหลั่งไหลออกจากปากมันมา แต่นั่นไม่เท่าไหร่ เหตุผลสุดท้ายนี่ซิมันตีเข้าแสกหน้าจนหน้าหงาย ไม่รู้ว่าเลือดหรือน้ำตานะที่เปรอะหน้าอยู่

### พี่เค้าบอกว่า เอาเงินให้เพื่อนยืมตั้ง 5 หมื่น สู้เอาไปให้น้องชายกรู ผลาญ ซะยังดีกว่า ((คือประมาณว่าน้องชายมันประเภทไม่เอาถ่าน งานการไม่ทำ เกาะพ่อแม่มันกินน่ะ แบบว่าเลวได้ใจว่างั้น))

สรุปเอาเองนะ กรู คนทำมาหากิน กรูคนรักครอบครัว กรูที่สู้มาทุกอย่างจนถึงวันนี้ ทำงานหนักมาทั้งขีวิต สรุปว่า กรูเลวกว่าน้องขายมึง ที่เจ็บที่สุดในชีวิตก็คือ มันยังเอาเรื่องของเราไปปรึกษาคนอื่น ทำให้คนอื่น ๆ มองภาพเราเป็นไงล่ะทีนี้ ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าจิตใจเป็นไง

ความโกรธ
ความเกลียด
ความน้อยใจ

มันหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่รู้ตัวเลย น้ำตาแมร่งงง ก็เนาะ เข้าใจกรูดีเหลือเกิ๊นนนน ไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว ศักดิ์ศรีที่คิดว่าเคยมี หน้าตาทางสังคม หมดไป ณ บัดนั้นเลยทีเดียวเชียว ฟังดู ก็ไม่รู้ว่าหลายคนจะเข้าใจอารมณ์นี้หรือเปล่า แต่สำหรับผม คนที่รักศักดิ์ศรีอย่างมาก มาเจอเหตุการณ์นี้เข้า ทำเอาเป๋ ไปเลยครับ

กลับบ้านไป>>>>>> หงอยมากเหมือนเหมาเหงา เก็บความคิด ระดมสมองเป็นอย่างมาก ว่าจะทำยังไงดี

ผลสุดท้ายที่สุด ((ขอย่อความเลยนะครับ)) ผมก็ได้ไปจัด Finance กับสถาบันการเงินหนึ่งเข้า ซึ่งเรียกเก็บดอกเบี้ยมหาโหดทีเดียว ร้อยละ 18 % ต่อปี กู้ 50,000 บาท รวมเบ็ดเสร็จจ่ายดอกเบี้ยให้มันไปเกือบ 20,000 บาท ทีนี้ก็ต้องมาตั้งหน้าตั้งตาผ่อนเงิน 50,000 บาท ต่อไป...................................แต่ แต่ แต่ แต่

เมฆร้ายใข่ว่าจะผ่านพ้นไป..............................................ตะดึง ตะดึง ตะดึง

รถเอามาขับได้ แค่ 2 วัน หม้อน้ำแมร่งดันระเบิด เกิดจากความร้อนในเครื่องยนต์ ร้อนเกินไป พระเจ้าช่วยยยยย

สิ่งที่เฝ้าฝัน แลกกับความรู้สึกต่าง ๆ ต้องมาพังทลายลงในทันใด ค่าซ่อมเปลี่ยนเครื่องเจอไปอีก 20,000 กว่าบาท เป็นการเพิ่มหนี้สินเข้ามาในชีวิตอีกแล้วววววววววว บทสุดท้าย ความจริงเหล่านี้ก็ปรากฏออกมา

เพื่อแมร่งหักหลังเรา รถมันย้อมแมวมา ราคาคนขายเค้ามาขายแค่ 80,000 บาท เพื่อนมันกินค่าหัวคิวเราไป20,000 บาท ได้รถแบบเอามา 2 วันแจ๊งงงงงง ใครอยากมีเพื่อนแบบนี้อีก รีบติดต่อผมมาโดยด่วยเลยครับ จะแนะนำให้รู้จักกัน เป็นอย่างดี

นั่นแหละ สิ่งที่เกิดขึ้น มันก็เหมือนเป็นแรงผลักดันของชีวิตเลย ได้ประสบการณ์อะไรมากมายจากเรื่องนี้ ต่อไปนี้ กรูจะไม่พึ่งใคร
กรูจะต้องฝ่าฟัน ทุกปัญหาไปให้ได้ด้วยตัวเอง
หากมันจะอดตาย ก็จะขออดอย่างเสือ ไม่แบมือขอใครเด็ดขาด

เริ่มต้นใหม่ทิ้งความเสียใจไว้เบื้องหลัง และปฏิญาณกับตัวเองว่า ต่อไปนี้ เราจะเป็นคนดี ...........งง ((เกี่ยวอะไรว่ะ ฮ่า ฮ่า อ่า)) ไม่ใข่ดิ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ ต้องพยายามด้วยตัวเองนั่นแหละ

เฮ้ออออออออ จบไปหนึ่งเรื่อง กับแรงผลักดันในชีวิต แต่ทว่าสิ่งที่ท้าทายต่อไป มันก็กำลังจะก้าวเข้ามาต่อไป ต่อไป ต่อไป .................. ก็รอพบกับ Part 2 ของแรงผลักดันต่อไปนะครับ

เหมือนเดิมครับ หากชอบก็กด LIKE หากใช่ก็กด LOVE ให้ด้วยครับแล้วพบกันใหม่

โดยคุณ nooing (28.4K)  [อา. 27 ม.ค. 2556 - 19:33 น.] #2658517 (4/9)
Blog 3 แรงผลักดันของชีวิต (Part 2)

ผ่านความบอบช้ำในชีวิตอันสาหัสมาได้ครับ จากการโดนเพื่อน 2 คน จัดมาให้อย่างหนักเลย คนหนึ่งพูดจาดี อวดอ้างตลอด “พูดให้ตัวเองดูดีได้ตลอดเวลา” สิ่งเหล่านี้จะจำฝังใจผมไปนาน หากทำไมได้อย่าได้เอ่ยวาจาเด็ดขาด ....................อีกคน ปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ คอยจ้องเอาผลประโยชน์ หลอกลวงได้แม้แต่กระทั่งเพื่อนฝูง เพื่อนสองประเภทนี้ ขออย่าให้ได้เจอะเจออีกเลย วันเวลาผ่านล่วงเลยไป ล่วงเลยไป ล่วงเลยไป.........

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเลื่อนไปเป็นปี แก้วตาไม่มาซักที ...................!!!! ร้องเพลงนี้เหมือนจะบอกอะไรเป็นนัย ๆ เลยใช่ไหมครับ ตอนนั้นเองก็มีเข้ามาจริง ๆ ครับ คนที่เราคิดว่าใช่แล้ว (มาจนได้ หลังจากที่ผ่านรอมานาน อิอิอิ) แต่มันก็ไม่จะง่ายอย่างใจคิดหรอกครับ ช่วงนี้ก็เป็นที่ทราบกันดีแล้ว ว่าชีวิตยากลำบาก แบกรับภาระไว้เต็มบ่า จะกินก็ไม่ได้กิน จะนอนก็ไม่ได้นอน...........หาทางเพิ่มรายได้ให้ตัวเองตลอดเวลา เรื่องพระก็มีบ้างนะครับ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ด้วยเราไม่ค่อยจะเป็นอะไรเลย ก็ต้องพยายามศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้น ๆ ไปอีก ตอนนี้จะไม่ได้โฟกัสไปถึงเรื่องนี้มากนะครับ ไว้โอกาสต่อ ๆ ไป ได้เจอกันแน่นอน

ย้อนกลับมาเรื่องแฟนคนนี้ครับ เข้ามาในชีวิต ผ่านไปพอสมควรจะเราคิดว่าจะลงหลักปักฐานกันเสียที แต่ติดที่เราไม่ได้มีเงินนี่สิ เราก็ผัด ๆ ผ่อน ๆ ไปเรื่อยเลย และแล้วสิ่งที่ทำให้ผมต้องจำไปอีกเรื่องก็คือ ตอนนั้นคือคิดไว้อย่างเดียว จะต้องหารายได้พิเศษมาทำ นอกจากงานประจำ สุดท้ายก็มีทางเลือกเดียวครับคือ...............ขายของ แต่เราจะขายอะไรดีล่ะครับ สรุปเราก็ปรึกษากัน โดยจะขายสินค้าที่สุดวิเศษอย่างมาก ใครเห็นเป็นต้องน้ำลายไหลแน่นอน “””””””””””” คิดไว้งั้นนะ ก็กะว่าจะขายทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์

ลูกชิ้นทอด
ขนมไข่นกกระทา

นั่นนนนนนนเองงงงงงงง ครับพี่น้อง แต่ด้วยความที่เราไม่มีพื้นฐานด้านนี้มาก่อน และอีกอย่างเรามันก็ค่อนข้างหน้าบางนะ หุหุหุ จะให้ไปเป็นพ่อค้าตากแดดหน้าดำ เห็นจะไม่เข้าท่า แต่ด้วยสภาพความจำเป็น และภาระต่าง ๆ มันทำให้เราต้องฮึดสู้ ทิ้งเกียรติ และหน้าตา ไว้เบื้องหลัง เริ่มต้นจาก หาอุปกรณ์ ก็จะต้องมีสารพัด แต่ก็เน้นจากของในบ้านที่เรามีนั่นเอง

ลูกชิ้นทอด
- เตาแก๊สปิคนิค (มีแล้ว)
- กระทะ + ตะหลิว (มีแล้ว)
- ตะแกรง (ไม่มี ก็ต้องซื้อใหม่)
- น้ำมัน (ไม่มี)
- ลูกชิ้น (ไม่มี อันนี้ต้องไปซื้อวันต่อวัน เช้าวันเสาร์ก็ต้องไปตลาดสดตั้งแต่ตี 4 ตี 5 เพื่อซื้อของ รวมถึงอุปกรณ์ทำน้ำจิ้มด้วย)
- - เมีย (ตอนนั้นยังไม่มี แต่ก็กำลังจะมี ((ทำหน้าหื่นนิดนึง)) แต่ต้องผ่านด่านโหดหลังจากนี้ไปให้ได้ก่อน ((เร่งวันเร่งคืน))

### สูตรเด็ดน้ำจิ้ม #### ไม่มีอะไรมาก เคี่ยวน้ำตาลปี๊ป ให้เหนียวพอ ใส่กระเทียม รากผักชี ส้มมะขามเปียก ปรุงรสให้ได้รสเปรี้ยว ๆ หวาน ก็ต้องชิมให้เราถูกใจก่อน และคิดว่าคนซื้อจะถูกใจด้วย แบ่งแยก 2 หม้อ คือ เผ็ด (แค่เอาพริกป่นใส่เพิ่ม) กับ รสหวาน คือ ไม่ต้องใส่พริกเปล่าเท่านั้นเอง

ทอดลูกชิ้นให้ได้ที่ ราดกันน้ำจิ้มสูตรเด็ด ก็พร้อมขายได้แล้วครับ (((แผล่บบบบบบ)))

มาถึงสินค้าตัวที่สอง ที่จะลงพร้อมกัน เป็นอาหารประเภททอดเหมือนกัน เลย วิธีการทำจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่ายนะ “ขนมไข่นกกระทา” เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ชิมรสชาติ และเคยกินกันมาอยู่แล้ว แต่คงไม่รู้หรอกนะว่าทำมาอย่างไร วันนี้มาฟังเฉลยกัน (((( หุหุหุ จริง ๆ แค่อยากจะบอกว่า ตรู ทำเป็นจริง ๆ นะม่ายยยด้ายยยโม้)))

เครื่องผสม

- มันเทศ
- แป้งมัน
- น้ำตาลทราย
- แป้งโกกิ
- สีผสมอาหารสีเหลือง (อันน้ำเผื่อไว้นะ อาจจะไม่ต้องใช้ หากเราได้มันสีที่ต้องการมา)
วิธีการทำ
### ปลอกมันให้สะอาดล้างน้ำให้ดี ใช้วิธีเอามีเฉาะ มันเป็นดุ้น ๆ แล้วเอาไปนึ่งนะครับ ให้สุกดี ที่ให้เฉาะ มันมีเหตุผลอันลึกซื้งนะครับ เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เรื่องนั้นก็คือ .............. ไม่ต้องไปหยิบเขียงมาหั่นไง วางกับมือก็เฉาะได้จริงป่ะ (((ฮ่า ฮ่า ฮ่า))) พอนึ่งได้ทีสุกดีแล้วก็นำมาเลยครับ ขั้นตอนอีกขั้นที่จะทำให้คุณเมื่อยไปตาม ๆ กัน คือ ตำ ๆๆๆๆๆๆๆๆ ให้ละเอียด ผมก็ใช้ครกหินนั่นแหละโขลก โปก ๆๆๆๆๆๆๆๆ กล้าขึ้นกันไปข้างนึง พอได้ครบหมดแล้ว อันนี้ต้องใช้ปริมาณส่วนผสมให้ดีนะครับ ผมมีสูตรว่า มัน 5 กิโล ต่อแป้งมัน 3 กิโล ส่วนแป้งโกกิ ผมใช้เพื่อเพิ่มความกรอบ รสชาติอื่น ๆ ก็ต้องปรุงเองชิบเอง เน้นให้หวานนิดนึง เพราะเวลาทอดขึ้นมามันจะได้มีรสชาติดี ส่วนสีผสมอาหาร หากได้มันที่เป็นสีเหลืองสดใส ก็ไม่จำเป็นต้องใช้นะครับ ไม่ได้จำเป็น แต่บางครั้งเราไปได้มันที่มันสีออกขาวมาก ๆ มันจะทำให้เวลาทอดแล้วสีไม่น่ากิน อันนี้ก็ใส่ไปนิดหน่อยได้ครับ

เป็นไงล่ะ บอกแล้วทำเป็นจริง ๆ และทำมาแล้วครับ ช่วงนั้นเป็นโรคประจำตัวเพิ่มมาเลยครับ คือโรคปวดเมื่อย มากทั้งแขนและขา ด้วยเหตุที่ผมต้องนำของทั้งหมดไปขายที่หน้าปากซอยบ้าน ระยะทางเดินก็ประมาณ 700 เมตรจากบ้าน ปัญหาคือ เตาแก๊สปิคนิคมีอันเดียว เราก็ต้องให้แฟนเราใช้ในการทอดลูกชิ้น ส่วนผมก็ต้องทอดขนมไข่นก ฯ กับบ้านเมื่อสุกดีแล้วก็ใส่ถาดยกออกไปวางขาย เดินวันหนึ่งก็หลายสิบรอบ เอาโน้นเอานี่ ลืมโน้นลืมนี่ตลอดเวลา ก็ต้องเดินเข้า ๆ ออก ๆ ตลอดเลย (((อดสงสารผมไม่ได้แล้วล่ะซิ ลำบากจริง ๆ นะ))) การทอดขนมไข่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เท่าไรนักนะครับ เพราะเวลาเอาใส่กระทะไปแล้วก็ต้องคอยคน ๆๆๆๆ ไม่ให้ติดกันในช่วงแรก พอผ่านช่วงแรก ก็มาถึงช่วงวิกฤตเลย คือต้องใช้ตะแกรงกด ๆๆๆๆๆๆๆ คน ๆๆๆๆๆๆๆ กด ๆๆๆๆๆๆๆ คน ๆๆๆๆๆๆๆ อยู่อย่างนี้จนกว่าจะได้ที เพราะหากเราไม่ทำอย่างนั้น ขนมของเรามันก็จะไม่ฟู และมันก็จะไม่กรอบ และจะแข็ง จนอาจจะเอาไปทำกระสุนยิงนกได้ หรือ คนซื้อไปแล้วอาจจะเอามาปาหัวเรา หัวแตกได้นั่นเองงงงงงง

ย่นย่อมานิดนึง จบวันแรกเริ่มงานตี 5 ขายหมดได้รวดเร็วมาก ดีใจสุด ๆ เลย เพราะเป็นร้านใหม่คนขายหน้าตาดี (((แอบยอตัวเอง))) ขายหมดไปได้ในเวลาเพียงบ่ายโมงเอง เย้ ๆๆๆๆๆ สุดยอดเลยยยยยยยย เก็บของเข้าบ้านกว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปบ่าย 3 โมง เดินงี้จนขาลากเลย ทีนี้ก็มาถึงตอนที่สำคัญที่สุดในเวลานี้แล้ว ให้ทายครับว่าคืออะไร

ติ๊กต๊อก
ติ๊กต๊อก
ติ๊กต๊อก

เฉลยดีกว่า....... ก็ตอนนับเงินไงล่ะครับพี่น้อง แหม ๆๆๆ คนจะรวยช่วยไม่ได้เนาะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่วยกันนับกับแฟนอย่างแข็งขัน สรุปยอดได้แล้ววววว 1,780 บาท (((เยอะหมือนกันเนอะ สำหรับวันแรก แอบดีใจ))) แต่หักค่าโน้นค่านี่ ค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับเปิดร้านครั้งแรกแล้ว เหลือเงินแค่ไว้พอซื้อของมาขายวันต่อไปเท่านั้นเอง เฮ้ออออ เหนื่อยมาก แต่ก็ดีใจที่เริ่มต้นวันแรกได้ดีทีเดียว ก็ได้แต่คิดว่าต้องสู้ต่อ...................

6 MONTH LATER ผ่านไป 6 เดือน ไว้เหมือนนึกเอา

สรุปเหตุการณ์ได้ดังนี้
1. อาหารหลักที่ดีที่สุดในตอนนั้นคือ ลูกชิ้น กับ ข้าวเปล่า
2. ขนมที่อร่อยที่สุด คือ ขนมไข่นกกระทา (((ตอนนั้นหน้ากลมขึ้นมานิดนึงนะ)))
และสิ่งสุดท้ายเลยตอนนั้น รวบรวมเงินมาได้ทั้งหมด จากการขายของ และ ขายพระบ้างนิด ๆ หน่อย ได้เงินมาจำนวน 50,000 บาทเลยทีเดียวเชียว เก่งไหมล่ะพี่น้อง

จบจากวันนั้น สิ่งที่คิดต่อไปที่ยิ่งใหญ่ ที่วางแผนไว้ทุกอย่างก็เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เราก็คิดวางแผนจะไปขอแฟนเราแต่งงานซะที ลำบากกันนมาหลายเดือนเลย แต่เงินแค่นี้จะพอหรือนั่น แค่ 50,000 เอง เราก็ต้องรักษาหน้าตาคนที่จะมาใช้ชีวิตเราด้วย คิดไว้ตอนนั้น อย่างน้อยน่าจะมีเงินวางพาน ให้กับพ่อตาแม่ยาย อย่างน้อยก็ต้อง 100,000 บาท เนาะ อ้าวววว เวงกำ แล้วทีนี้จะทำไงกันดีล่ะ มีเงินสดแค่ 50,000 เอง จะไปพออะไร กับการแต่งงาน มาถึงตอนนี้ใครช่วยผมคิดได้ไหม ว่าจะทำไงดี

คิด คิด คิด คิด คิด คิด คิด คิด คิด คิด คิด คิด

ทุกท่านยังจำสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับคนเป็นหนี้ทั่วโลกเราได้ไหมครับ สิ่งนั้นหรือก็คือ ....................................บัตรเครดิต หรือ บัตรกดเงินสด นั่นเอง แฮะ ๆ นั่นแหละ ที่พึ่งสุดท้ายยามที่ชิวิตไม่รู้ไปทางไหนนั่นเอง

แต่สำหรับผม มีอีกสิ่งหนึ่งที่สุดวิเศษมาก ๆ เลย (((จริง ๆ ไม่อยากเปิดเผยเรื่องดี ๆ แบบนี้ให้ใครฟังนะ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร))) สิ่งนั้นมันก็คือ ................................................ไอ้รถสับปะรังเค คันนั้นนั่นเอง ที่โดนเพื่อนหลอกแดกเราไปนั่นแหละ ขับมั่งซ่อมมั่ง แต่หนักไปทางซ่อมมมากกว่า สรุปตัดใจขายไป ได้เงินมาอีก 50,000 บาท (กำไรเละเทะ ซื้อมาแสน 6 เดือน ขายได้ ห้าหมื่น กำไรเท่ากับเท่าไหร่หว่า.............................))

รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างตามแผนการ สรุปได้งบประมาณมา 150,000 บาท โอ้โห คิดในใจ เกิดมาเพิ่งเคยจะได้จับเงินที่เหมือนเป็นของตัวเองครั้งแรกแบบนี้ นี่เอง เงินแสนห้า จะทำให้ขีวิตเราเปลี่ยนจริง ๆ หรือนี่ สรุปภาพรวมเบ็ดเสร็จเลย เราเตรียมไปจัดงานแต่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น .................... แต่ทุกอย่างที่คิดไว้ กับเงินแค่นี้ มันคงไม่ได้ราบรื่นแน่นอนนนนน ปัญหาและอุปสรรค มันไม่ได้หมดไปเพียงแค่นี้หรอก มันจะต้องมีอะไรเข้ามาให้ปวดหัว และอาจจะต้องมีการเสียน้ำตาของใครบางคน เป็นแน่แท้

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ก็โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ กับ Part 3 ของ แรงผลักดันของชีวิต

โดยคุณ nooing (28.4K)  [จ. 28 ม.ค. 2556 - 21:28 น.] #2659958 (5/9)
มาถึงตอนนี้ หลาย ๆ ท่านคงอาจจะเริ่มเห็นใจผมมากขึ้นแล้วก็เป็นไร ((รู้นะว่ากำลังเอาใจช่วยผมอยู่แน่ ๆ เลย – แองคิดไปเองเปล่าหว่าาาาาาาา ++++)) หลายคนคงนึกอย่างทำขนมไข่นกกระทาไว้กินเอง แล้วล่ะมั้งป่านนี้ ให้พลังไข่นกกระทานำทางชีวิตและผลักดันท่านต่อไปนะครับ

ส่วนผมก็ผ่านมาใกล้จะเริ่มงานกันแล้ว เอาล่ะเริ่มต่อเลยครับ เมื่อทำการคิดวางแผนกันไว้อย่างดีแล้ว ผมก็เริ่มลงมือปฏิบัติการก่อนเลย ด้วยความที่ผมเป็นคนคิดอะไรเป็น Step ก็เริ่มวางแผนต่าง ๆ นา ๆ ((หึ หึ หึ จะได้รู้จัก ศักรินทร์ดาวร้ายก็ตอนนี้แหละ)) เริ่มกำหนดรูปแบบงาน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อทำออกมาให้มันดูดีที่สุด ด้วยเงินจำนวน 150,000 บาท ที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง และบัตรเครดิต เค้าแหละ อ้อออออ เกือบลืมบุญคุณอันยิ่งใหญ่ เจ้ารถสับปะรังเค ด้วย คิดจะเอาโน้นเอานี่ต่าง ๆ นา ๆ ตามประสา แต่สุดท้ายก็ต้องคิดใหม่ ที่เราคิดไว้ทั้งหมดมันทำท่าจะทำไม่ได้ซะแล้ววววววววววววววววววววววววว เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะงานนี้
.
.
เริ่มออกหา สถานที่
เริ่มออกหาชุดแต่งงาน
เริ่มออกหาการ์ด
เริ่มออกหาของชำร่วย
เริ่มออกหาโต๊ะจีน
เริ่มออกหาช่างถ่ายภาพ
ฯลฯ

งานแรกเลย ก็ไปคุยหาสถานที่ ก็ได้ลงตัวที่สโมสรแห่งหนึ่ง และก็เป็นธุรกิจต่อเนื่องเลย มีโต๊ะจีนมาเสนอเพียบเลย ไปสะดุดตาอยู่เจ้าหนึ่ง มีใบปิดมาวางไว้ให้ดู เขียนคำบรรยายความได้น่าประทับใจมาก อันนี้ผมว่าสำคัญนะ เป็นเทคนิคทางการขายได้ดีทีเดียว คำบรรยาย เขียนให้น่าประทับใจ เน้นจุดเด่นของสินค้าออกมาให้มากที่สุด และก็แจ้งว่า สิ่งที่เราเป็นเจ้าของสินค้าจะทำอย่างไรกับมัน และให้ความสำคัญกับมันแค่ไหน สื่อออกมาให้ได้ เพื่อให้คนซื้อ เกิดความน่าเชื่อถือขึ้นมาได้ อันนี้สะดุดใจผมมากก็เลยเลือกเจ้านี้ คุยงานกัน ออกแบบสถานที่กัน และที่สำคัญ ก็ได้ชิมฟรี 1 โต๊ะ ตามสูตร เพื่อเลือกเมนูอาหาร วันที่ไปชิม ไปกันแค่ 3 คนเอง ที่เหลือห่อกลับบ้าน สบายไป อิอิอิ

ทั้งหมดจิปาถะมาก แต่เชื่อไหมครับ สำหรับผม ใช้เวลาในการดำเนินการทั้งหมดนี้เพียง 3 วันเท่าน ทุกอย่างก็อยู่ใน กาารควบคุมของผมได้แล้ว ((หุหุหุ ศักรินทร์ดาวร้ายซะอย่าง))

ตัดภาพมา มีสมุดจดบันทึกเล่มหนึ่งซึ่งจดทุกอย่างไว้ในนั้นอย่างดี มีค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ที่ต้องเตรียม รายชื่อแขก รูปแบบงาน ตั้งใจไว้ว่าจะเรียบ ๆ ง่าย ๆ แต่ให้ดูดีสมฐานะเลยทีเดียวเชียว ค่าใช้จ่ายที่คำนวนไว้คร่าว ๆ ก็ราว ๆ แสนกว่าบาทที่ต้องจ่ายออกไปก่อน เรื่องเงินวางพาน ((ลืมบอกว่าค่าสินสอดไม่ได้เป็นปัญหาเพราะ ไม่ได้เรียกร้องอะไร คงเป็นเพราะเห็นว่าเราเป็นคนทำมาหากิน และช่วยกันหาเงินมาอย่างยากลำบาก )) เรื่องเงินวางพาน ไม่เป็นปัญหาแล้ว เพราะมีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายแฟนที่มีฐานะรับปากว่าจะช่วยออกให้ก่อน เพื่อเป็นหน้าเป็นตา ((อันนี้ผมไม่เกี่ยวนะ เพราะทางแฟนเค้าไปจัดการกันเอง))

วันเวลาก็ผ่านล่วงไป จากวันเตรียมงานทั้งหมด จนถึงวันงานสรุปเป็นเวลา นานมากกกกกกก ((จริง ๆ นะ)) 15 วัน พรุ่งนี้แล้วซินะ จะถึงวันสำคัญแล้ววววววววววว
.
.
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
เสียงโทรศัพท์ของแฟนดังขึ้น แฟนก็ยิ้ม ๆ แล้วรับโทรศัพท์เสียงใสเชียว พูดไปซักพัก หน้าเริ่มเสีย ผ่านไปอีกนิดนึง อะไรวะ แม่เจ้า แฟนผมน้ำตาแตก ร้องไห้โฮ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่หยุดเลย

เกิดอะไรขึ้น !!!!!!!!!!!! ผมถามออกไปทันที พอตั้งสติได้ แฟนผมตัดสาย แต่ก็ยังไม่หยุดร้องไห้ ญาติผู้ใหญ่ โทรมาบอกว่า ไม่สามารถให้ยืมเงินได้แล้ว เพราะ………………บลา ๆๆๆๆๆ………………….. เหตุผลมากมาย บอกว่าต้องเก็บเงินไว้ใช้ธุระจำเป็น

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!!! เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจผมเป็นครั้งที่ 2 แล้ว เหตุการณ์แบบนี้มันทำไมต้องมาทำร้ายผมตลอดเลย ตอนนี้ทำร้ายแม้กระทั่งคนที่ผมรัก ชีวิตอะไรมันจะเจอแต่ปัญหาแบบนี้ ในสมองพรั่งพรูออกมาด้วยคำถามมากมาย

*** ทำไมวะ ...................
*** ทำไมวะ ..................
*** ทำไมวะ ..................
*** ทำไมวะ ..................

สรุปเลยนะ เท่าที่จับประเด็นได้ คือ ไม่อยากให้ยืม กลัวจะไม่ได้คืน ((ขอคิดเลว ๆ แบบนี้เลยครับ)) เบื่อเนอะเจอแต่แบบนี้ คนที่หวังพึ่งได้ ก็ทำกับเราแบบนี้ทุกที “พูดให้ตัวเองดูดี พอถึงเวลาจริงทำไม่ได้” การที่คุณให้ความหวังใครมาตลอดเวลา แต่ถึงวินาทีสุดท้าย คุณกลับทำลายความหวังจนหมดสิ้น เข้าใจนะ ว่ามันอาจลำบากใจ

เรื่องแบบนี้แหละที่ทำให้ผมฮึดสู้ และตั้งปณิธานไว้ในใจทุกวันนี้ ต่อไปนี้จะพึ่งใครทั้งนั้น ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองให้ได้ ==&#61672 นี่แหละคือ แรงผลักดันของชีวิต ของผม

ตัดภาพมาเล่าเรื่องงานต่อนะ

คิดอะไรไปมากมายเลย แต่เราก็น่ะ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ระบบสั่งงานในสมองสั่งให้หยุดได้แล้ว หาทางออก หาทางออก หาทางออก

รวบรวมความคิดทั้งหมด ระดมหาเงินเท่าที่พอจะมีอยู่ตอนนั้น หามาให้หมดทุกทีทุกทาง สรุปได้เงินสดมาเพียง 50,000 บาทเท่านั้น ได้แค่นี้ก็แค่นี้ ปรึกษากัน นำไปแลกเป็นแบงก์ร้อยให้หมด เอามาวางแผ่นบนพาน ให้ได้บานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ((นึกถึงทองคำเปลวนะครับ เวลาทำเอาทองนิดเดียว ตีแผ่นออกไปให้บางและกว้างที่สุด ความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นแบบนั้นเลย)) ผ่านงานเช้าไปได้ดี ทีนี้ก็เหลืองานเลี้ยงตอนเย็น แต่ปัญหาใหญ่ที่กำลังจะตามมาคือ ค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องเตรียมไว้จ่ายให้กับคนจัดงานอีก แสนกว่าบาทนี่ซิ จะทำไง จะทำไง จะทำไง จะทำไง

ทางออกที่คิดได้ตอนนี้ คือ หวังจากเงินซองช่วยงานไงล่ะ ((ฉลาดชิบเป๋งเลย)) คิดได้ดังนั้น ก็มอบหมายหน้าที่นี้ให้เจ้าน้องชายเลย “”” มรึง เฝ้ากล่องเงินไว้ให้ดี หากแขกเข้างานจนจะหมดแล้ว ให้มรึง อุ้มกล่องเงินไปหลังเวทีทันที และจัดการเชือดซะ (หมายถึงเชือดเอาเงินออกมาน่ะ อิอิอิอิ) ให้เรียบร้อย “””

ลุ้นสุดตัวเหมือนกัน ว่าจะผ่านไปได้หรือเปล่า สุดท้ายก็เอาตัวรอดไปได้อย่างหวุดหวิด เงินได้มาแบบพอดี ๆ เนื่องจากมีผู้ใหญ่ใจดี และบรรดาเจ้านายของแฟน ที่เค้าเอ็นดู ก็ช่วยมาพอสมควร ทำให้รอดมาได้แบบพอดี ๆ ไม่ได้เป็นหนี้เพิ่มเติมอะไร ก็ต้องหาทางเริ่มต้นกันใหม่ สรุปเหตุการณ์นะ

- งานจัดออกมาได้ดูดีถูกใจมาก ในงบประมาณที่วางแผนไว้ทุกประการ สถานที่ถูกใจ อาหารอร่อย จุดนี้ ได้รับคำชมเชยจากเพื่อนบ้าน แม้แต่คนที่ขี้นินทาที่สุดในหมู่บ้านก็ยัง แอบเอาไปเมาท์ ((ในทางที่ดี)) กับคนอื่น อันนี้ก็น่าจะพอเป็นเครื่องยืนยันได้
-
- +๙๙๙๙+ อันนี้แหละหลักการบริหารจัดการกับงาน แต่คงไปบริหารจัดการกับปากคนไม่ได้ แต่งานนี้ถือว่าโชคดีไป

- ก็มีมุมสังเวชใจกับตัวเลขบ้างเล็กน้อย เช่น มา 4 จ่าย 2 (((คิดแล้วหงอย มา 4 คน พ่อ แม่ ลูก ลูก ใส่มา 200 บาท เจริญสุขจริง ๆ ))) เชื่อว่าของแบบนี่ทุกคนต้องเคยสัมผัสมาบ้างแน่ ๆ แต่ช่างมันเหอะ เหมือนที่แม่ผมบอกจัดงานอย่าหวังกำไร เอาหน้าตาพอ แป่วววววว แต่ผมว่าจัดให้ได้กำไรดีกว่านะ (((ไม่น่าเชื่อแม่เลย โฮ โฮ โฮ)))

- สติ จัดการได้ทุกสิ่ง หากเกิดปัญหาต้องใช้สติ ในการแก้ไขปัญหา “สติดี ปัญญาเกิด สติ ไม่ดี ต้องไปโรงพยาบาล” อันนี้สำคัญมากนะครับไม่ว่าจะเผชิญกับปัญหาหนักหนาแค่ไหน ก็ต้องครองสติให้อยู่ คิดทบทวนหาหนทางแก้ไขและฝ่าฟันมันไปให้ได้

- การวางแผนจัดการก็เป็นส่วนสำคัญ เพราะถ้าเราวางแผนจัดการงานดี มีแผนสำรองไว้เสมอ ไม่ว่ามีอะไร เราก็สามารถจะพลิกแพลงแก้สถานการณ์ให้รอดไปได้แน่นอนครับ

ส่วนตัวผมได้แง่คิดอะไรมาหลายอย่างเลย ได้แรงผลักดันของชีวิต และเริ่มมองหาหนทางใหม่เพื่อที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าให้ได้

ได้ค้นพบกับสัจธรรมข้อหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มาก “อัตตาหิ อัตโนนาโถ” ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

จบงานนี้ถือว่าเสมอตัวนะครับ ได้พลังในการต่อสู้แล้ว ที่สำคัญได้เข้าหอ ((ทำหน้าตาหื่นมาก อิอิอิ))))) แต่มันก็ใช่ว่าจะดีทีเดียวเพราะผมยังมีภาระหนี้สิน และภาระทางครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบอีกมากมายเลย มาลุ้นกันต่อไปว่า อะไรจะเข้ามาในชีวิตผมอีก และผมจะผ่านสิ่งเหล่านั้นไปได้อย่างไร ไว้พบกันใหม่นะครับ...............................................................



ปล. Blog นี้อาจจะดูไม่ค่อยมีสีสันเท่าไหร่นะครับ เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ มาก เนื่องจากไม่ค่อยสบายครับ ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องให้กันฟัง และอิงหลักการนิดหน่อย เพราะคิดเก๊ก ไม่ค่อยออก และก็อย่างที่บอก การเขียนในแต่ละวันใช้เขียนสด ๆ นึกกันสด ๆ เลย และด้วยเวลาที่มีจำกัด ทำให้ใช้เวลาได้ไม่เกิน Blog ละ 1 – 2 ชั่วโมงเท่านั้นครับ หากยังชอบกันอยู่ก็กด LIKE ให้กันเหมือนเดิมนะครับ

โดยคุณ nooing (28.4K)  [อ. 29 ม.ค. 2556 - 19:55 น.] #2661141 (6/9)
Blog 4 จุดเริ่มต้นกับชีวิตใหม่

จะพึ่งฟ้า ฝนก็มา ไม่ถูกต้อง
จะพึ่งเพื่อน พึ่งพ้อง ก็ห่างหาย
จะพึ่งพ่อแม่ พี่น้อง ก็แสนอาย
ขอพึ่ง สิ่งสุดท้าย คือตัวเราเอง.

จากเรื่องราวที่ผ่านมาก ผมมาสะดุดเลยกับบทกลอนบทนี้ ช่างโดนใจสุด ๆ เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตผมเลย

ผ่านอะไรมาบ้างเนี่ยยยย เรา ไล่เรียงกันออกมา แต่ละอย่างไม่ได้ง่ายเลย

สำหรับพระรายการแรกในการเริ่มเป็น “พ่อค้าพระ” ยากลำบากพอดู แต่พอสู้ไหว ใช้เวลาไม่มากเลยยยย แค่ 8 ชั่วโมง สำหรับรายการแรกสุดในชีวิต ดีใจนะ ได้เงินมา 650 บาท (((เงินงอกมาอีกตั้ง 350 บาท จากที่ตั้งใจขายที่ 300 บาทเท่านั้น))) อัยยะ++++!!!! เวปนี้มันสุโค่ยยย นะเนี่ย สร้างความหวังให้เราดีแท้น้อออออออ

ผ่านความยากลำบากในการหาสิ่งที่มาเติมเต็มของชีวิต ผ่านมาอย่างความยากลำบาก ทั้งการถูกเพื่อนหักหลัง ถูกสร้างความหวัง และก็ทำลายความหวัง ถูกดูถูกดูแคลน เป็นคนไร้เครดิตในสายตาคนอื่น แต่ในข้อร้ายก็ย่อมมีข้อดี ทุกคนรอบข้างที่รู้จักผมต่างก็ชื่นชมและยอมรับผมในฐานะคนสู้ชีวิต ทั้งที่ทำงานประจำ แต่ก็ยังมาหาลำไพ่พิเศษ ช่วยกันทำมาหากิน ขายของตรากหน้า และด้วยการครองสติที่ดี การวางแผนจัดการที่ดี ทำให้ผ่านเรื่องต่าง ๆ มาได้ด้วยดี แต่สิ่งที่ได้ตามมาก็คือ เราได้ชีวิตคู่ ที่คิดว่ารับเราได้ทุกอย่าง ร่วมกันลำบากมาด้วยกัน แค่นี้มันก็ดีที่สุดแล้ว จากนี้ก็ต้องหาทางต่อไปเพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จต่อไป..................................................

พอทุกอย่างเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งเรื่องงาน เรื่องต่าง ๆ ทีนี้ก็ฮึกเหิมใหญ่เลยครับ ก็เริ่มคิดต่อว่าเราจะเอาไงดี ล่ะ มองซ้ายมองขวา มองหน้ามองหลัง มองไปมองมา คอแมร่งงเริ่มเคล็ด คิด ๆๆๆๆ ตรู จะเอาอะไรมาขายอีกล่ะ &#61516 จะเอาดีทางพระก็ติดปัญหา ไม่มีปัญญาหาเอง ไม่มีทุน อุปกรณ์ก็ยังไม่มีครบถ้วน จะเอาดีทางขายลูกชิ้น และขนม ตลาดก็เริ่มอิ่มตัวแล้ว คนซื้อน้อยลง สรุป ประเด็นเดิมกลับมา ตรู ม่ายยยมีอะไรจะดีขึ้นเลย ฮ่าฮ่าฮ่า วาดฝันซะยิ่งใหญ่ อยากขายพระ แต่ไม่มีพระ ผมว่าอันนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่มากเลยสำหรับคนที่จะเข้ามาในวงการนี้ คือไม่รู้จะเอาอะไรมาขายนั่นเอง พอหลังจากวันนั้นไป ก็เริ่มกลายเป็นคนปากพล่อยตลอดเลย เจอใครก็

- พี่มีพระไรบ้าง ขอดูหน่อย ((ทำตาละห้อยแบบว่าอยากรู้นิดดดส์นึง))))
- เจอหน้าเซียนแก่ ๆ แถวบ้าน ลุงมีอะไรบ้างครับให้ผมศึกษาบ้าง (((จริง ๆ จะหลอกรับประทานลุงนั่นแหละ)))

ผ่านไปหลายเพลา ก็ยังไม่รู้จะเอาไงดี เอาวะ พระกล่องที่เราเคยจองเก็บไว้ไง มันก็พอได้นี่หว่า ว่าแล้วก็จัดเลยครับ ยำเลย พระโน้นพระนี่พระนั่น ก็ใส่กันไปตามประสา ซื้อเพิ่มบ้างขายบ้าง สลับกันไป ตอนนั้นก็ไม่ได้แคร์อะไรมากเพราะเพลานั้นเวปก็เล่น “ฟรี” พระก็ลงได้ไม่จำกัด รายการต่อวันนะ บางคนมีพระเยอะพ่อคุณท่านก็ใส่วันละเป็นสิบ ๆ รายการ มาตอนหลังเวปก็ประกาศให้ลงได้กระดานละไม่เกิน 6 กระทู้ (ย้อนอดีตให้ดูให้ด้วยนะครับ วิวัฒนาการของเวปเรา ))))))

เล่าถึงตอนนี้ผมก็ยังคงเป็น “หัวขโมย” เหมือนเดิมเลย คือยังไม่มีปัญญาซื้อกล้อง (((แต่มีปัญญาซื้อพระเนาะ))) เหตุผลสวยหรูเหมือนเดิม คือยังไม่อยากลงทุนอะไรที่ยังมีความเสี่ยง ((ฮา)) ชีวิตก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนเดิม ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ชีวิตก็ยังเปี่ยมไปด้วยความหวังอยู่ดี เล่นไปเล่นมาทุนก็เริ่มหมดอีกแล้ว ปัญหาระดับชาติเลยมั้ยนั้น ทีนี้ทำไงล่ะ ค่าใช้จ่ายมันก็จะตามมาเรียกเก็บแล้ว มันมีภาษาแบบบ้าน ๆ เลยนะครับที่ติดตัวคนที่เป็นพนักงานประจำที่พอมีเครดิตอย่างผมไง

เงินหมด กดบัตร อยากได้ รูดบัตร
เงินหมด กดบัตร อยากได้ รูดบัตร
เงินหมด กดบัตร อยากได้ รูดบัตร

ชีวิตมันก็วนเวียนกันอยู่แค่นี้แหละครับ (( ตอนนั้นคิดไว้เสมอนะ ว่ามันคงยากที่จะหลุดพ้นวงจรนี้ออกไปได้)) สิ้นเดือนทีเหมือนจะดีใจนะ ที่เงินเดือนออกแล้ว แต่ความเป็นจริงมันก็เท่านั้น มันเป็นเพียงแค่วันที่เราต้องเอาเงินทั้งหมดมาเคลียร์ยอดบัตรต่าง ๆ ให้ตรงตามรอบของมัน และสุดท้ายก็ต้องมานั่งกดเข่า กับตัวเลขที่ติดลบเหมือนเดิม :-(

ตัดภาพกลับมา สำหรับผมก็พอเริ่ม ๆ จะมีหนทางเอาตัวรอดเพิ่มมาอีกอย่าง ทำไงล่ะครับ พระที่ประมูลมา หรือที่เก็บไว้ ก็ทยอยเอามา sell eat เลยครับ (ภาษาตอนนี้เค้าเรียกว่าเอามา ขายแ.....ก)))) และต้องขายไวด้วย ก็เอาไปเร่ขายให้กับคนรู้จัก หัวหน้างานครับ ขายแบบกะได้เงินเร็ว ก็ขายถูกกว่าตลาดซิครับ (((อันนี้ผมว่ามันเป็นความชอกช้ำของคนเล่นพระที่ทุนน้อย ๆ และสภาพคล่องไม่ดีนะครับ เพราะได้พระมาองค์หนึ่ง หากรอเวลาขายทุนก็จะไม่มีหมุนไปซื้อองค์อื่น เวลาอยากได้ตังค์ก็ต้องขายขาดทุน ))) ตอนนี้ก็กลับมาเริ่มต๊อแต๊ เหมียนเดิมเลยยยย คือไม่มีอะไรจะขาย ขายไปก็ขาดทุน สรุปว่าท่าจะไปไม่รอดดดดแว้วววววววตรู

เคยคิดนะจะลองไปเดินตามสนามพระเหมือนกัน ณ เวลานี้ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี อีกอย่างเราดูพระไม่แข็งแรงเลย เห็นใคร ๆ ก็เล่าว่า ไปมาก็บาดเจ็บกลับมา พร้อมกับของปลอมมมมทั้งนั้น เราก็ไม่กล้าอ่ะดี ที่สำคัญที่สุดเลย ไม่มีทุนขนาดนั้นด้วย หากพลาดท่าเสียทีมาจะรักษาไม่หายได้

วันดีคืนดี ก้าวเท้าซ้ายออกจากบ้าน ตาซ้ายกระตุกตลอดเวลาเลย มันเป็นอะไรของมันวะ หรือจะเป็นแบบโบราณเค้าว่า “ขวาร้ายซ้ายดี” (((ขอต่อยสองทีทั้งซ้ายและขวา ฮ่าฮ่าฮ่า อันนี้ก็ไม่ใช่นะ) นั่งทำงานอยู่ ลุงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเลยครับ ในมือถือถุงกระดาษใบหนึ่งในถุงท่าทางจะมีของหนักมาด้วย เข้ามาถึงก็ยกมือไหว้เราทันที นึกในใจ ฮ่วยยย ตรู โดนแน่แล้ว เตรียมคำตอบไว้เลย “ผมไม่มี” แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นนะซิ

--ลุงเก็บสะสมเหรียญไว้เยอะ อยากเอามาขายให้น่ะ หนูสนใจสะสมเหรียญเก่า ๆ บ้างหรือเปล่า

ว่าแล้วก็ล้วงมือไปหยิบอัลบัมใส่เหรียญเก่า ๆ ออกมา สภาพก็น่าจะเก็บมานานแล้วนะนั่น หุหุหุ เราก็รับมาพลิก ๆ ดู เหรียญกษาปณ์ ธรรมดา ราคา 5 บาท 10 บาท จำพวกเหรียญที่ระลึกทั้งนั้น ผมก็บอกไปว่า ผมรับซื้อนะลุง แต่คงให้ราคาได้ตามหน้าเหรียญเท่านั้นนะครับ อาจจะบวกเพิ่มให้นิดหน่อยแบบปัดเศษ เพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร “นี่เห็นลุงเดือดร้อนนะ อยากช่วย” (((นั่นไงเอาแล้วตรู เป็นพ่อพระขึ้นมาทันใด))) แต่ด้วยความจริงนะ ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะเอามาขายต่ออะไรได้หรอกนะ แค่อยากเก็บ ๆ ไว้เท่านั้น และอีกอย่างสงสารลุงแกจริ๊งงงง ๆ (((เสียงสูงนิ๊ดดดนึง))) สรุปนับไปนับมาได้เป็นเงิน 1,200 กว่า ๆ ก็เลยบอกว่าลุงผมให้ลุง 1,500 นะ (พ่อพระมาโปรด) จริง ๆ แล้วระหว่างนับ ก็เห็นว่าในอัลบัมนั้นมันมีพระประเภทเหรียญปะปนมาด้วย ก็คิดว่าคงจะเอามาขายได้หลายตังค์กว่าเหรียญพอควร ก็เลยยอมให้ไปเกินราคาบ้าง ด้วยความที่บอกแล้วว่าช่วงนี้เราเป็นคนที่ปากพล่อยมากมายเลย ก็เลยเอยปากออกไป

=== เห็นมีพระปนมาด้วย ไม่ทราบลุงสะสมพระไว้บ้างหรือเปล่าล่ะ === พอดีผมชอบสะสมพระมากกว่าน่ะ เผื่อจะขอแบ่งลุงเอามาเก็บไว้บ้าง

@@ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากเรื่องนี้นะครับ @@

เวลาคนในวงการนี้อยากจะได้พระใครในราคาเบา ๆ จะมีประโยคยอดฮิตเลยนะครับ
- เอาไปเก็บ ((แม่งงงงงก็เก็บทั้งนั้น เวลาไปถามซื้อ มันก็จะบอกว่า เฮ้ยยย ทุนมาแพงว่ะ)
- รุ่นนี้เค้าไม่เล่นกัน ((ไม่เล้นแล้วมรึงจะเอาไปไมวะ))
- ไม่ค่อยชอบนะ แต่อยากได้ไว้ศึกษา ปล่อยป่ะ ((นี่ก็อีกแร่ะ ไม่ชอบแต่เสือกอยากได้))
- ขอซื้อวัด ๆ ได้ป่ะ ((วัดทำไมล่ะ ดูไม่ดีเสือกอยากจะซื้อ)))

เป็นเล่ห์เหลี่ยมทางการค้าในวงการพระเลยนะครับ คำพูดมาตรฐาน ไม่รู้มีมาเมื่อไหร่ แต่น่าจะนานมาก เพราะเห็นใคร ๆ เค้าก็พูดกัน ผมก็ต้องเริ่มศึกษาไว้บ้าง จริงป่ะ อิอิอิ

สรุปลุงก็ตอนคำถามเหมือนฟ้าประทานพรจากสวรรค์มาให้ “ลุงมีเก็บไว้เยอะมากเลย ไม่รู้อะไรบ้างดูไม่ค่อยเป็น แต่ก็ส่วนใหญ่ไปเช่ามาจากวัดตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ๆ นะ”

( O-O ) ตาผมพองเท่าไข่ห่านเลย พยายามเก็บอารมณ์สุดฤทธิ์ “ขอผมดูมั่งได้ป่ะล่ะ เผื่อมีอะไรจะแบ่งมาเก็บบ้าง” สรุปก็ได้ไปดูจริง ๆ ครับ ก่อนไปก็วาดฝันไปต่าง ๆ นา ๆ เลย ว่านับจากบัดนี้เป็นต้นไป ผมก็มีพระขายแล้วครับ
.
.
.
.
.
ผมว่าทุกท่านคงเคยอ่านนิทานเรื่องหนึ่งนะครับ ซึ่งตอนนั้นผมคิดเลยนะครับ ว่าผมนี่ช่างเหมือนคนตัดฟืนเลยครับ ผมยึดถือกตัญญูเป็นหลักเลย เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ส่งน้องเรียนหนังสือ ดูแลครอบครัวทุกอย่าง และที่สำคัญผมไม่เคยท้อแท้ ยามเกิดปัญหา และลุงคนที่เข้ามาช่างเหมือนเทพารักษ์มาโปรดผมจริง ๆ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เหมือนชะตาพลิกผันนะ ลุงแกก็มีนั่นมีนี่เยอะแยะดีเหมือนกันครับ นับจากวันนี้ไปก็เป็นจุดเริ่มต้นของผมแล้ว ตั้งใจว่าจะตั้งหน้าตั้งตาเดินหน้าต่อไป......................====> แต่ทว่าเพียงเท่านี้ มันก็คงยังไม่พอหรอกครับ ที่จะทำให้ผมรอดจากสถานภาพ มันยังมีอะไรอีกมากมายที่จะต้องศึกษา และต้องเผชิญต่อไป

โดยคุณ nooing (28.4K)  [พ. 30 ม.ค. 2556 - 18:28 น.] #2662575 (7/9)
Blog 7 ชะตาพลิกผัน ฝันที่ใกล้เป็นจริง

วันเวลาผ่านไปแต่วันละวัน มันช่างรวดเร็วเสียนี่กระไร สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสัจธรรมเสมอสำหรับโลกเราก็คือ “เวลาและวารี มิมีที่จะคอยใคร” มันก็ผ่านของมันมาเรื่อย ๆ สำหรับผม ผ่านไปแต่ละวันมันช่างรวดเร็วจริง ๆ ที่บอกว่าเร็วเพราะ หันซ้ายหันขวา เราก็ยังไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมากว่าแต่ก่อนเลย บ้านก็ยังซอมซ่อเหมือนเดิม เงินก็ไม่ค่อยจะมีพอใช้ การกินการอยู่ก็ต้องประหยัดเอาถึงจะอยู่รอดได้ไปเดือน ๆ หนึ่ง คิดไปก็เท่านั้น เพราะหากเรางอมืองอเท้า มันก็คงย่ำอยู่กับที่เหมือนเดิม ก็เพิ่มแรงฮึดให้ตัวเองอีกนิดนึง เอาวะ...............................เป็นไงเป็นกัน สู้มันซักตั้ง

เริ่มเข้าสู่หน้าเวปไซด์ อย่างจริงจัง ศึกษาหาความรู้ทุกอย่างเท่าที่จะมีได้ ดูพระไม่เป็นก็อาศัยดูจากหน้าเวปนี้แหละครับ เห็นใครลงอะไรขาย ก็ไปดู ไปจำ ตอนนั้นไม่รู้หรอกอะไรเก๊ อะไรแท้ อาศัยเห็นว่าเค้าขายได้ ก็จำ จำ จำ จำ อย่างเดียวเลย ทำไงได้ ก็เราไม่มีคนสอนนี่ครับ พึ่งใครไม่ได้ก็ต้องพึ่งตัวเอง

ตัดกลับไป ... หลังจากเจอลุงคนนั้นแล้ว ก็มีโอกาสได้เข้าไปดูพระที่ลุงแกเก็บสะสมไว้ มีคนอยากทราบว่าเป็นอะไรบ้าง ก็บอกไม่ถูกนะ มันเยอะแยะ ปะปนกันมั่วไปหมด ก็ดูหลากหลายดี แต่ที่จะมีมากที่สุดก็น่าจะเกจิแถบ จ.อยุธยา โดยเฉพาะพระหลวงปู่ดู่ วัดสะแก เพราะลุงแกบอกสมัยก่อนแกเป็นคนมีฐานะ วันหยุดทีแกก็เดินสายทำบุญตามวัดแถบนั้น ก็จะมีพระเข้ามาเยอะ ผมก็เริ่มงานเลย

= ไม่ทราบว่าลุงจะแบ่งอะไรให้ผมบ้างล่ะครับ
- ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะเอาอะไรให้ดี เพราะไม่รู้ว่าเค้าเล่นกันอย่างไร
= ลุงก็ลอง ๆ ตีราคาเหมา ๆ มาก็ได้ครับ เพราะส่วนใหญ่ ผมก็จะเอาไปเก็บไว้ (( นั่นไงล่ะ กรู เอาไปเก็บไว้อีกแล้วววว ))) แต่ลุงก็อย่าตีแพงมากนักนะครับ เพราะผมก็ไม่ค่อยมีเงินหรอกครับ (( เจอเล่ห์เหลี่ยมในวงการเข้าไปอีกดอก ดูซิว่าจะยอมไหม )))

สรุปก็หยิบโน้นหยิบนี่กันมาเรื่อยเลย จนสุดท้ายได้พระมาหอบใหญ่พอควรครับ เบ็ดเสร็จคิดราคารวม 5,000 บาทครับ ตอนจ่ายเงินก็มือสั่นนิดหน่อยนะครับ ลงทุนครั้งแรกจริง ๆ จัง ก็ตั้ง 5,000 บาท แอบกลัวนิดนึง เพราะ
1. เราไม่รู้อะไรเลย แท้เก๊ ยังไม่มั่นใจ แต่ตอนนั้นก็เชื่อมั่นในตัวลุงนะ เพราะแกบอกเอามาจากวัด
2. เราไม่รู้ราคา เพราะ เป็นการไปเดา ๆ สุ่มเอาทั้งนั้น เอามาหาราคาหน้าเวป อาจจะเจ็บตัวก็เป็นไปได้ครับ
ผมว่าข้อนี้สำคัญมากนะครับ จนถึงปัจจุบันนี้ เพราะบางทีเราดูพระแท้เป็นแล้ว แต่เรื่องราคาก็สำคัญมากคนะครับ เพราะหากได้พระแท้แต่ราคาแบบล้น ๆ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรครับ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนะครับ หากคิดจะลงทุนกับพระ สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวัด อันดับหนึ่งเลย คือ พระเก๊ เพราะถ้าหากไปโดนพระเก๊มา ก็เท่ากับว่า เงินลงทุนของเราจะเป็น ศูนย์ ทันที สินค้าพระไม่เหมือนสินค้าตามตลาดทั่ว ๆ ไปนะครับ เพราะสินค้าบางอย่าง หากมันไม่ตรงสเปค หรือ รุ่น มันก็จะยังมีเหลือมูลค่าในตัวของมันอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นพระล่ะก็ ศูนย์ อย่างเดียวครับ

เรื่องราคาอันนี้ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนะครับ เพราะหากเช่าพระมาผิดราคา นั่นก็จะทำให้เรา ขาดทุน ในเบื้องต้นแล้วแน่นอน คือ ขาดทุนแน่นอนครับ ไม่ว่าพระองค์นั้นจะแท้ สวยขนาดไหน หากผิดรุ่นแล้ว ก็คือ ผิดราคา อันนี้จะตามมาด้วย ผลการขาดทุนแน่นอน ในวงการพระ มีทรัพยากรบุคคลแบบนี้ค่อนข้างมานะครับปัจจุบัน คือเล่นแล้วก็เล่นได้ไม่นาน เพราะเจอปัญหา พระเก๊ และ ผิดราคา พอโดนหนัก ๆ เข้าก็ไปไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเลิกกันไปเองครับ ผมมีพรรคพวกแบบนี้อยู่เยอะทีเดียว เห็นหน้าค่าตากัน แต่สุดท้ายก็ต้องบอกว่า “กรู เลิก”

พอได้มาทีนี้ก็ ไม่ต้องรีรอล่ะครับ นับเวลานอนได้เลยครับ เรียกว่าไม่ต้องหลับต้องนอนกันแล้ว เพราะผมก็เอามาถ่ายภาพ หาข้อมูล ต่าง ๆ นา ๆ เพื่อจะนำมาเสนอทุกท่านที่เป็นคนซื้อ บอกเลยนะ ว่าผมทุ่มเทไปกับงานนี้มากจริง ๆ สรุปสุดท้าย ผลตอบแทนที่ได้รับกลับมา ก็ถือว่าพอใช้เลยทีเดียวครับ ได้กำไรไม่ได้มากมายอะไร อาจจะไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคาดคิด แต่ผมก็สุขใจที่สุดครับ เพราะ เราได้เริ่มต้นแล้ว เราได้ลงมือทำ เราได้พบหนทางที่นำพาชีวิตเราแลครอบครัว ไปสู่สิ่งที่มุ่งหวังแล้ว

ผ่านเวลาไปพอสมควร ผมก็เฝ้าวนเวียน กับเรื่องพระ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ตื่นเช้าก่อนไปทำงาน ก็ต้องเปิดหน้าเวปก่อน กลับบ้านก็ต้องรีบกลับ เพราะมีภาระกิจ ที่รออยู่ โดยต้อง แพคพระส่งให้ลูกค้าวันต่อวัน และที่สำคัญ ต้องลงพระที่จะขายวันต่อไปด้วยครับ ทำอยู่อย่างนี้ทุกวัน แบบไม่มีเบื่อเลย

== ชีวิต คนเรา พลิกผัน ได้ตลอดเวลานะครับ=

ชีวิตผม ทำท่าว่าจะดีขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะพบทางสว่าง ถึงแม้ว่ามันจะเพียงแค่เห็นจุดเล็ก ๆ ก็ยังดีครับ แต่สำหรับบางคน ชีวิตก็พลิกผันได้เหมือนกัน แฉกเช่น หัวหน้างานของผม นี่เองครับ สมัยก่อนมีฐานะ มีตำแหน่งที่ดี แต่มาวันนี้ชีวิตพลิกผัน เดือนร้อนเงินขึ้นมาซะอย่างนั้น (( อันนี้ไม่ขอลงรายละเอียดนะครับ ว่าเรื่องอะไร แต่คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก และคงไม่อยากให้ใครเข้าไปสัมผัสนะครับ)) พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา มันก็เป็นโอกาสของผมอีกแล้ว (( คนเรามันจะดี อะไรมันก็จะต้องดีนะ หุหุ))

= เฮ้ยยย หนุ่ย ตอนนี้ พี่แย่ว่ะ หมุนเงินไม่ทันเลย เห็นเอ็ง เป็นคนเล่นพระ พี่เก็บพระไว้เยอะเลยว่ะ แต่ไม่มีปัญญาเอามาขาย มรึ่ง ช่วยเอามาปล่อยหน่อยได้เปล่าวะ

--- ทุกท่านคงเดาอารมณ์ผมออกนะครับ ตอนนั้น เนื้อตัวงี้เต้น ตลอดเลย ตากระตุกมาก พอเท่าไข่ห่านอีกแล้ว O-O ร้องออกไปแบบไม่ค่อยเต็มใจเลย “มันจะดีซิ” สวรรค์เห็นใจคนอย่างเราอีกแล้วเหรอนี่ อิอิอิ

ชอบที่สุดเลยครับ มีพระมาขายแบบไม่ต้องลงทุน แต่ก็ต้องลงแรงครับ ความขยันมันมาจากไหนก็ไม่รู้นะ เหมือนกินยาเข้าไปร้อยเม็ด ผมก็ขายไปเรื่อย และเล็มไปเรื่อย บ้านโน้นบ้าง บ้านนี้บ้าง แล้วแต่คุณลุง คุณพี่จะจัดมา ผมมีหน้าที่อย่างเดียวเลย คือ ตั้งราคามาเลยครับ อยากได้เท่าไหร่ หากเห็นว่าตั้งสูงไป ก็จะบอกว่า เฮ้ยยย มันแรงไปเน้อ ขอลงหน่อยได้ป่ะ และเชื่อไหมครับ ราคาที่ลงมาก็เป็นราคาที่ผมจะมีกำไรตลอดเลย (( ธรรมดาน่า ค้าขายต้องมีกำไร คุณอยู่ได้ ผมก็ต้องอยู่ได้ วินวิน ทั้งสองฝ่าย)) นี่แหละน่า ดังคำโบราณที่เค้าว่า “คุณพระช่วย” ซึ่งผมคิดว่าเป็นจริงอย่างมากเลย เพราะถ้า คุณลุง และคุณพี่ของผม ไม่มีพระอยู่ ก็คงไปไม่รอดแน่นอน ส่วนผมก็ยิ่งแล้วใหญ่ คุณพระมาช่วย จริง ๆ ครับ ไม่รู้จะเกี่ยวกันหรือเปล่านะครับ แต่ก็คิดไปตามนั้น ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ตอนนั้นยอมรับเลยครับ ความสุขมันเริ่มจะมาหาผมบ้างแล้ว เงินเริ่มมีเข้ามาให้ใช้จ่ายมากขึ้น ภาระหนี้สินก็เริ่มเบาบางลง แต่ว่ามันใช่จะหมดไปทีเดียวนะครับ ผมแค่บอกว่ามันเบาบางลง แค่ให้พอเราได้หายใจคล่องขึ้นเท่านั้น แต่หากมาถึงจุด ๆ นี้แล้ว ผมก็มีแง่คิดให้กับตัวเองนะครับ ว่าหากเราไปมัวหลงระเริงอยู่กับความสำเร็จเพียงเท่านี้ ทั้งที่เรายังไม่ได้มีอะไรมากขึ้นกว่าเริ่ม เห็นจะไม่ดีแน่ ตอนนั้น ผมก็ยังคงใช้ชีวิตแบบสมถะ เหมือนเดิมนะครับ ไม่ได้ฟุ้งเฟ้ออะไรมากขึ้นเลย กินใช้ประหยัด เก็บออมเงินไว้ เพราะมีประสบการณ์มาแล้ว ว่าอะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมภาคภูมิใจที่สุดในตอนนี้เลย คือ.....


ผมได้ซื้อกล้องดิจิตอล ตัวใหม่ เป็นของตัวเองซะที ปลอดโปร่งโล่งสบายใจมากครับ จำได้อย่างแม่นยำว่าตอนนั้นซื้อมาเป็นกล้อง Panasonic ราคาน่าจะ 9,900 บาท ซื้อมาแบบดีใจมาก ๆ เลย ได้ใจสุด ๆ ในใจคิดแต่ว่าเราได้หลุดพ้นจาก สถานะ “หัวขโมย” มาได้เสียที กลับบ้านมาไม่ต้องทำอะไรกันล่ะ นั่งลูบคลำ อย่างหลงใหล ประเดิมงานแรก กันทีเดียวเชียว ในวันนี้ แทบไม่หลับไม่นอน (( เหตุการณ์ตอนนั้น ผลงานการถ่ายภาพก็ยังไม่ได้ดีอะไรเท่าไหร่นะครับ เพียงแต่ว่าภาพดูชัดเจนขึ้นนิดนึงเท่านั้น)) พอมีอุปกรณ์ดี ผลงานย่อมดีขึ้น กำลังใจก็มีมากขึ้นมาตามลำดับ

ในช่วงนี้เอง ผมก็ได้เริ่มออกเดินตามสนามพระบ้างแล้ว แต่ขอบอกเลยนะ ว่าตอนนั้น มันไม่ใช่เลยครับ ตลาดเหมือนเป็นอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเราเลย มีแผงเต็ม ๆ ไปหมด พระก็วางกันเต็มไปหมด เดินถามราคาพระองค์ไหน ส่วนใหญ่คนขายก็จะมองหน้าเรา ((เห็นหน้าเราอ่อน ๆ )) ก็จะไม่ค่อยอยากบอกราคา หากบอกมาเราก็ไม่กล้าซื้ออีก เพราะ
- ไม่รู้ราคา
- ไม่รู้เก๊แท้
- ไม่กล้าซื้อ (กลัวไปต่าง ๆ นา ๆ)
กลับบ้านมามือเปล่า ตลอดเลย นึกไปนึกมา เราจะไปรอดหรือเปล่าวะ ไม่ประสบความสำเร็จเลยสำหรับการเริ่มพยายามเดินสนามพระ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิดเลย ที่สำคัญเราไม่มีพรรคพวก เดินมันดุ่ม ๆ คนเดียวนี่แหละ ทำตัวไม่ถูกยังไงไม่รู้ครับ

ตอนนั้นก็กลับมาตายรังเหมือนเดิม คือไม่ได้ดีขึ้นมาเลย กลับมาเก็บของเก่ากินที่บ้านดีกว่า พระกล่อง นั่นไง ลงมันเข้าไปซิ แต่พอลงไปส่วนใหญ่ก็จะขายไม่ได้นะ เพราะมันไม่ได้น่าสนใจ และสภาพคล่องทางตลาดต่ำ จะมีแต่กลุ่มลูกค้าประเภท ซื้อเก็บ เพราะมันถูกเท่านั้นครับ

สิ่งที่พูดมาใช่ว่าจะทำให้ผมท้อแท้นะครับ ตรงกันข้ามกลับทำให้ผมมีความพยายามมากขึ้น เกิดแรงผลักดันในชีวิตอีกแร่ะ มันไม่ได้ ก็เดินมันทุกวันนี่แหละ วันไหนหยุดงาน เสาร์-อาทิตย์ ผมไม่เคยว่างเว้นเลยครับ เดินสนามพระตลอดเวลา มันต้องได้อะไรบ้างล่ะน่า สะสมประสบการณ์เรื่อย ๆ บางครั้ง ภรรยาผมยังแซว ว่าให้เวลากับสนามพระมากกว่าเมีย (( ฮ่า ฮ่า ฮ่า)) จุด ๆ นี้ ต้องอาศัยการแบ่งเวลาให้ดีนะครับ แนะนำกันไม่ได้ ของใครของมัน แต่ผมคิดว่าบริหารจัดการได้ และคุยกันด้วยเหตุและผล ตอนนั้นต้องการอย่างเดียวคือ “เงิน” ที่จะมาจุนเจือครอบครัว และก็พยุงฐานะทางบ้านให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้นให้ได้

ตัดภาพมาเลยครับ สรุปว่า ความพยายมทุกอย่างที่กล่าวมา ความโชคดี เหล่านั้น มันก็เริ่มส่งผลในด้านดีแล้ว ความป็นอยู่เริ่มดีขึ้นจริง ๆ ภาระหนี้ น้อยลงจริง ๆ สรุปว่าเรามาถูกทางแล้ว (( แอบยิ้ม)) แต่มันจะเพียงพอหรือแค่เท่านั้น เพราะมองไปรอบ ๆ ตัว ก็ยังเห็นภาพเก่า ๆ อยุ่เลย

- บ้านยังไม่มีเลย
- รถยังไม่มีเลย
- ภาระหนี้ยังเหลืออยู่พอควร (( หลายแสน ))

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปดีล่ะ จะมีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตอีก จะดีหรือร้าย ก็ต้องติดตามกันต่อไปนะครับ............

เหมือนเดิม ชอบกด LIKE ใช่กด LOVE เพื่อเป็นแรงผลักดันให้เขียนต่อนะครับ อิอิอิ

โดยคุณ nooing (28.4K)  [พฤ. 31 ม.ค. 2556 - 19:49 น.] #2664110 (8/9)
Blog 8 เริ่มบินสูง

ผ่านวันเวลา และความเจ็บช้ำมาพอควร เร่งวันเร่งคืน ตั้งหน้าตั้งตา ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ได้พระมาเท่าไหร่ ต้องนำไปลงกระดานให้หมด เป็นหลักการของผมเลยครับ เพราะหากเก็บไว้ในตู้ บนหิ้ง หรือ ในชั้นต่าง ๆ มันก็จะไม่ได้ขาย คนก็จะไม่เห็นครับ และถ้าไม่เห็นก็จะไม่มีโอกาสได้ขาย หรือโอกาสที่จะขายได้เป็นศูนย์ทันทีครับ

หลักการอีกอย่างที่สำคัญมากสำหรับผมก็คือ การส่งของต้องส่งวันต่อวันครับ จะไม่มีการค้างส่งเด็ดขาด นอกจากมีเหตุจำเป็นสุดวิสัยจริง ๆ เท่านั้น เช่น ไปต่างจังหวัด ส่วนการเจ็บป่วยไม่มีผล เพราะแม้หากป่วยขนาดไหน หากไม่ถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล รับรองคนจ่ายเงินมาต้องได้รับของตามกำหนดแน่นอนครับ

การให้ feedback ก็สำคัญมาก หากแพคของเสร็จเรียบร้อย ผมก็จะใส่ feedback คำชมให้ทันที ไม่ว่ากรณีใด ๆ และก็จะใส่หมายเลข ems ให้ไว้ด้วยกันเลย เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ เพราะ feedback จะะเก็บไว้ตลอดไป ทำให้ประหยัดเวลา และไม่ต้องไปจดไปที่อื่น หากเกิดปัญหาสามารถตรวจสอบได้ทันที

หลักการเหล่านี้ ผมไม่สามารถไปบังคับใครให้ทำตามได้ แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ตลอดเวลาที่ผ่านมาครับ เล่ามาเยอะ ขอเล่าต่อเรื่องจุดเปลี่ยนในชีวิตอีกอย่างหนึ่งที่กำลังจะเข้ามา ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ยุคทองของ “องค์จตุคามรามเทพ” ไม่น่าเชื่อนะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับองค์ท่าน ขายได้หมด มีเท่าไหร่ คนก็แห่ซื้อแห่เก็บไว้ และก็ทำให้แทบทุกวัด ออกจตุคามกันเป็นแถว ๆ เลย ในช่วงต้น ๆ ผมบอกเลยนะครับ ว่าไม่ได้มีความคิดอยู่ในสมองเลย ว่าจะได้มีโอกาสมาขายจตุคาม เรียกได้ว่า แอนตี้ เลยก็ว่าได้ครับ
ไม่ชอบ
ไม่ซื้อ
ไม่สนใจ
ไม่อะไรทั้งนั้น
เพราะคิดว่า มันไม่น่าจะอยู่ยืนยงได้ อย่างเก่งก็ไม่น่าจะเกิน 6 เดือนเท่านั้น แต่เหตุการณ์หาได้เป็นเช่นนั้น ผ่านไป 6 เดือนกว่าความแรงก็ใช่ว่าจะลดลงเลย แถมยังมีท่าทีที่จะแรงขึ้นมากไปอีก แบบไม่มีที่สิ้นสุด จองมา 150 บาท ขายได้ 7 - 8 พัน อะไรมันจะขนาดน้านนนน จำได้ว่าพอถึงตอนนั้นก็เริ่ม ๆ เอียง ๆ เข้ามาหาวงการนี้แล้วครับ แต่ด้วย เรามาถึงได้ตอนมันข้าไปนิดนึงทีเดียว เพราะราคาที่จะเอาเข้ามามันก็เป็นราคาปลายมือแล้ว ราคาจองบวกกันมาอีกหลายทอดเลย คงจะหากำไรได้ยากแน่ ๆ ก็เริ่ม ๆ แค่ลูกย่อย ๆ ทำกำไรนิด ๆ หน่อยเท่านั้น ไม่ได้หวือหวาอะไร

แต่จะด้วยบุญกุศล ที่ทำมา หรือว่าเป็นเพราะเราปฏิบัติดีก็ไม่ทราบนะ ทำให้ผมได้มีโอกาสได้รู้จักกับ “เฮีย” คนหนึ่งเข้า คือ ได้รับการแนะนำจากเจ้านายผมให้รู้จัก แนะนำซะดิบดี ว่าเราดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ และมารู้ทีหลังว่า เฮีย แกเป็นคนมีฐานะ ทำธุรกิจโรงงานเกี่ยวกับอะไหล่รถยนต์ แต่ก็ผันตัวเองมาเล่นจตุคามรามเทพ โดยใช้เงินลงทุนจำนวนมากเลย ((เป็นสิบ ๆ ล้านเลย)) ช่วงต้นมือ เฮียแกบอกได้กำไรมหาศาล เกินราคาไป 3 – 4 เท่าตัวทุกรุ่นเลยครับ เป็นธรรมดาของคนที่ทำธุรกิจนะครับ เห็นกำไรมาก ซึ่งก็มากมายเกินกว่าการทำธุรกิจปกติทั่วไปมากนัก ทำให้เกิดการหลงระเริงครับ มีรุ่นไหนออกเฮียแกจองหมด เรียกได้ว่าเป็นที่รู้จักทั้งจังหวัดในจังหวัดนครศรีธรรมราชเลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่าลงเครื่องปุ๊บ ร้านจองจัดรถมารับทันทีถึงสนามบินเลยครับ เพราะเป็นยอดจองใหญ่มาก ตัดภาพมาถึงผม ซึ่งตอนนั้นเริ่ม ๆ เบนเข็มมาจับจตุคามกับเค้าบ้าง ก็เริ่มกระแซะ ขอของจากเฮีย นำมาปล่อยต่อครับ เริ่มจากเล็ก ๆ น้อย ๆ เริ่มขยับขึ้นเรื่อย ๆ เรียกได้ว่าตอนนั้น ผมเอาอะไรมาก็ขายให้เฮียได้หมดเลย เพราะเราขยัน ซื่อสัตย์ ยอดได้ยังไงชี้แจงได้ เฮียก็ไว้ใจครับ รุ่นใหม่ ๆ มาก็จัดชุดใหญ่ให้ผมมาขายเสมอ แบบไม่ต้องลงทุนเงินเลย

ตอนนั้นยอมรับเลยว่าเหนื่อยมาก เหนื่อยที่สุดครับ แทบไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว แค่วัน ๆ นั่งแพคของส่งลูกค้า จากเลิกงาน ก็แทบจะไม่มีเวลานอนแล้ว เพราะเยอะมากจริง ๆ และด้วยบารมีองค์จตุคามรามเทพนี่เอง ที่ทำให้ผมเริ่มบินสูงขึ้น ก็ไม่ได้สูงอะไรมากครับ ประมาณ 10,000 feet จากระดับน้ำทะเล (( งง กันอ่ะดิ )) จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรครับ ได้นั่งเครื่องบินไงครับ เหตุการณ์สืบเนื่องจาก มีของรุ่นใหม่ออกมาครับ และด้วยความที่ต้องรีบไปเอามาขายก่อนคนอื่น หากชักช้ามัวรอให้ศูนย์ส่งมาทางไปรษณีย์ รับรองไม่ทันกินแน่ เฮียสั่งการเลยให้ศูนย์จอง จัดยอดให้เฮียไว้ก่อนเลย และให้ผมกับลูกน้องอีก 2 คน บินด่วนไปรับของถึงนครฯ เลยครับ

ครั้งแรก ในการบินสูง

ออกเดินทางจากบ้านเวลา 04.00 น. เพื่อเดินทางไป สนามบินดอนเมือง ขึ้นเครื่องเวลา 6.00 น.
ไปถึงสนามบินดอนเมือง สนามบินนี้ดีหน่อยนะครับ เพราะรถแท็กซี่สามารถขึ้นไปจอดบนชั้นที่รับตั๋วได้เลยครับ ไปถึงก็เงอะ ๆ งะ ๆ นิดนึง เพราะไม่รู้ทำไงต่อ เห็นเค้าไปเข้าแถว ก็ไปเข้าบ้าง ตอนนี้ก็เริ่มรู้แล้วว่า พอเราได้รหัสจองตั๋วมา ก็ต้องไปเอาตั๋วที่เคาเตอร์ ที่ไหนว่าง เข้าไปเช็คได้ครับถ้ามีกระเป๋าใหญ่ แล้วต้องการ load ก้อบอกเขาตรงนั้นเขาจะให้นำกระเป๋าใบนั้น ชั่งที่เครื่องชั่ง (เป็นแผ่นเหล็ก อยู่ในช่องทางซ้ายมือเรา) ติดกับเคาเตอร์ครับ ชั่งแล้ว เขาจะ ติด tag ให้ แล้วเอา tag อีกครึ่งหนึ่งมาติดกับ boarding pass ให้เรา

boarding pass คือ ตั๋วสำหรับขึ้นเครื่อง เราต้องเก็บใบนี้ให้ดีเก็บไว้ที่กระเป๋ากางเกง กระโปรง หรือกระเป๋าถือ หลุ่ยส์ติ๊งต๊องก้อได้อย่างใดอย่างหนึ่ง เท่านั้น ห้ามย้าย ถ้าย้ายที่ ย้ายไปย้ายมา พอเขาเรียก เราหาไม่เจอ คราวนี้แหลคุณเอ๋ยยย องค์ลงแน่นอนนนน

เขาจะตรวจอีกสองครั้ง คือ ตรวจก่อนขึ้นเครื่อง 20 นาที พร้อมบัตรประชาชน แล้วเขาจะฉีกออกไปส่วนหนึ่ง ไม่ต้องว่าเขา เขาฉีกไว้ เพื่อนับว่า เราผ่านจุดนี้ไปแล้วอีก 2/3 เราก็เก็บไว้ที่เดิม พอถึง ปลายทาง และเรามีกระเป๋าใบใหญ่ที่ load มากะเครื่อง

เราก็เดินตามชาวบ้านเขาไป แล้วไปที่สายพานกระเป๋าได้กระเป๋าแล้ว ยกกระเป๋าเราออกมา แล้วจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจอีกครั้งว่า tag ของเรา กะกระเป๋า นั้น รหัสตรงกันไหม ( หลายครั้ง ไม่มีคนมาตรวจ ก็แล้วกันไป) ถ้าไปก่อนเวลามากๆ จะหิว ให้ซื้อของกิน+ น้ำไปทานด้วยพอเช็คอินแล้ว หากต้องการนั่งรอใน โถงรอเครื่อง
โถง จะ ยาว และแอร์เย็นมาก เข้าขั้นเย็นอิ๋บอ๋ายต้องมี หมวก และเสื้อแจ๊คเก็ตไปด้วย (พูดจริงครับ)
ผมเป็นหวัดมาสามวันแล้ว เพราะ แอร์เย็นมากๆ นี่แหละ

ทีนี้ อาหาร และของกิน ที่เป็นน้ำ เขาห้ามนำเข้าในห้องโถงรอเครื่องครับและห้ามนำขึ้นเครื่องด้วย ถ้าหิว สามารถซื้อกินได้ ข้างใน ของที่ราคา 25 - 30 ข้างนอกจะปรับเป็น 80 - 100 บาท ในทันที คือ ค่าเช่าคงแพงแหละ
เขาไม่ได้คิดว่า คนขึ้นเครื่องที่สุดซำเหมาแบบกระพ้ม มีอยู่ในโลกนี้ด้วยกระมัง 555 +
ก่อนเข้า gate เพื่อไปรอขึ้นเครื่องตรงนี้ จะงงหน่อย ๆ ครับ เพราะเราต้องเอาสิ่งของที่มีอยู่ในกระเป๋าทั้งหมด กระเป๋าตังค์ เศษเหรียญ โทรศัพท์มือ ถือ ใส่ในตะกร้าที่เค้าเตรียมไว้ และใส่ไปในเครื่องเอกซเรย์ เราก็เดินผ่านประตูเข้าไป ขึ้นยืนบนแท่น เค้าก็จะเอาเครื่องตรวจ ตอปิโด เอ้ยยยย เครื่องตรวจวัตถุระเบิดมาวน ๆ ตามตัว เน้น ๆ ตรงเป้านิดนึง หากไม่มีเสียงอะไรก็ผ่านได้ ไปรับตะกร้าใส่ของเราคืนมาเป็นอันเรียบร้อย

รอเวลา เช็คอิน เขาจะประกาศเรียก โดยเรียกเด็ก คนแก่ คนพิการไปขึ้นเครื่องการ แต่ตรูเห็นพอประกาศ แมร่งก็ลุกกันไปหมด เหมือนกลัวไม่ได้ขึ้นยังไงยังงั้น

ของที่นำขึ้นเครื่องได้ ถ้าเป็นกระเป๋าเล็ก เช่นเป้ หรือ กระเป๋าสะพายก็นำติดตัวไป ปกติ มักจะไม่ควรเกิน 7 กิโลกรับ ทั่วๆไป ก็ 5 - 8 ครับ ถ้าเป็นกระเป๋าเดินทางใบโตๆ ก็ load ใต้เครื่อง ซึ่ง เราจะ บอกเขาที่เคาเตอร์เช็คอินครับ
ว่ามีกระเป๋า ด้วย (ใบต้องไม่โตเกินไป ทั่วๆ ไปก็ให้ 15- 20 กก. ครับ) มากกว่านั้น ไม่รู้ว่านกแอร์คิดเงินหรือปล่าว ให้ดูเงื่อนไข ในการซื้อตั๋วครับ

ถ้ามีของเหลวที่มากกว่า 50 CC ห้ามนำติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วยครับต้อง load ใต้เครื่องสถานเดียว ของมีคม กรรไกร คัทเตอร์ มีดพับ ที่ฝนเล็บปลายแหลม สเปรย์ฉีดผม ไฟแช็ค ไขควง หรือ อื่นๆ ที่เขาเห็นสมควรห้าม แม้ไม่มีในระเบียบ ก็ห้ามได้กรุณาอย่าถกเถียงกับเขาครับ มีคนรอคิวอยู่ด้านหลังหลายคน

พอขึ้นเครื่องโดยเดินตามชาวบ้านไปแล้ว กระเป๋า หรือเป้ ให้ยกไว้บนหิ้ง ต้องยกเอง แอร์ไม่บริการครับ ถ้ายกไม่ไหว ให้เรียกหนุ่มล่ำๆ คนใกล้ๆ ช่วยยกให้ แล้วบอกขอบคุณเขาด้วยคำสุภาพ

เสร็จแล้ว เข้าประจำที่นั่ง รัดเช็มขัด ปรับพนักเก้าอี้ให้ตรง ปิดมือถือ หรือ อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด ipad ก็ใช้ไม่ได้นะครับรอเครื่องออก พอเครื่องทะยานขึ้น จะรู้สึกหวิวๆ ว่ามันจะไปรอดมั้ยยยย ประมาณ 15 นาที ตรงนี้เหมือนนานเป็นปี พอเครื่องจะตั้งลำได้ อยู่ในระดับราบ

จะมีเสียงสัญญาณ "กรุ๊งงงง" แปลว่าทุกอย่าง OK แล้วครับ

ผ่านไปประมาณ 45 นาที
แล้ว เขาจะประกาศ ว่า ใกล้ถึงปลายทางแล้ว ให้ปรับพนักขึ้นเราก็ทำตามเขา สักแป๊บบบ เครื่องจะลงครับ ไม่เกิน 10 นาทีจะได้ยินเสียงล้อสัมผัสพื้น ดัง ครืดดดดดด โอ้ยยย ลงได้แล้ว ((แอบดีใจที่รอดมาได้ )))
พอเครื่อง จอดสนิทแล้ว ทุกคนจะลุกขึ้น คราวนี้ จะโกลาหลเล็กๆ แย่งกันออกจากเครื่อง

ถ้ามี กระเป๋าที่ load จะต้องมายืนรอที่ สายพานรอกระเป๋าครับตรงนั้น จะมีคนมารอบ้างแล้ว ถ้ากระเป๋าหนัก ใบโต ก็เข็นล้อเข็นมารอใกล้ๆ เขาจะเอากระเป๋า โยนๆ เข้าสายพาน แล้ว มันจะหมุนมาหาเราเอง

พอได้กระเป๋าแล้ว ก็เดินออกมาจากโถงที่รอกระเป๋า ออกมาสู่โถงใหญ่ของสนามบินครับ ถ้าไม่มีของ load ก็เดินออกมาได้เลย ไม่ผิดกติกาครับ ถือว่า จบกระบวนการนั่งเครื่อง โดยละเอียดแล้ว

เป็นไงครับตื่นเต้นไปพร้อมกับผมหรือเปล่า ครั่งแรกเลยนะนั่น องค์จตุคามประทานมาให้แท้ ๆ ภาระกิจแบบนี้ ในช่วงนั้น เกิดกับผมบ่อยมาก ๆ เลย เรียกว่าหลังจากนั้นก็บินไปบินมาเป็นว่าเล่นครับ แทบจะทุกสัปดาห์เลย เหนื่อยสายตัวแทบขาดจริง ๆ เพราะการบินแต่ละครั้ง ไม่ได้ค้างคืนแต่อย่างไร บินเช้ากลับเย็น กว่าเครื่องจะลงกรุงเทพฯ บางครั้ง เที่ยงคืน พอได้ของมาก็ต้องรีบจัดข้าวจัดของให้เฮีย และต้องนำลงขายทันที บางครั้งทำจนเข้าก้ต้องแต่งตัวไปทำงานเลย ไม่ได้หลับได้นอนกับแหละ แต่ทั้งหมดก็สุขใจมากครับ เพราะรายรับที่ได้มาเห็นแล้วมันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เริ่มมีเงินขึ้นมาพอเคลียร์หนี้เคลียร์สิน จากติดลบเริ่มเสมอตัว จากเสมอตัว เริ่มมีเงินเหลือ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะไปด้วยดีครับ บอกกับพ่อแม่ และครอบครัวว่าเราเริ่มจะดีขึ้นแล้วนะครับ ให้ทุกคนอดทน แต่แล้วมันก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นครับ ....................................................โปรดติดตามตอนต่อไป

โดยคุณ nooing (28.4K)  [อ. 05 ก.พ. 2556 - 21:20 น.] #2671949 (9/9)
Blog 10 เรื่องระทึกขวัญ ก่อนฝันจะเป็นจริง

ผ่านความเศร้าสุด ๆ ในชีวิตมาแล้ว กับการสูญเสียแม่ อันเป็นที่รักยิ่งของผม ทำใจซักพัก พอตั้งหลักได้ เริ่มงานกันเลยครับ ไม่ควรปล่อยวันเวลาให้มันผ่านไปเฉย ๆ คนอยู่ก็ต้องสู้กันต่อไป ภาระ และความฝัน ยังรอให้เราต้องฝ่าฟันบุกบั่นมันไปให้ได้ ……….สู้ ๆ

ช่วงเวลานี้ เป็นที่ทราบกันดี ว่ากระแสของจตุคามรามเทพ เริ่มจะซาลงไปแล้ว ทุกอย่างที่คิดไว้เริ่มเป็นจริงขึ้นมาแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเหมือนกับคนอื่น เนื่องจากว่า เราได้เตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เก็บสะสมพระย่อย ๆ ไว้อื้อเลย ก็แบ่งปันกำไรไปเช่ามาเก็บไว้ รอเวลานี้อยู่แล้ว ทำธุรกิจต้องมีการวางแผน ช่วงที่ผ่านมาก็หัดเดินสนามพระมาตลอดทุกสัปดาห์ เริ่มชินกับภาพของตลาดพระบ้าง ถึงแม้จะไม่มากเท่าไหร่ เห็นอะไรที่ดูเป็น จำได้ คือ จำหน้าพระได้ จำราคาได้ ดูแท้ ก็เช่าเก็บ ๆ ไว้ บัดนี้ก็คงถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องนำมาทดแทน ส่วนที่กระแสกำลังจะหมดไป

ช่วงนั้น พอกระแสเริ่มตก ผมก็เลิกบินไปรับของแล้ว แต่ก็ไม่ได้หยุดนิ่งนะครับ เพราะตอนนี้ ผมต้องกลายร่างเป็น มาเฟียชั่วคราว คอยเป็นคนทวงหนี้ คือ ในวงเวียนของผม มันมีการปล่อยเครดิตให้กับคนอื่นเอาไปออกต่อ มีการตัดยอดกันไปมา หลายทอด ที่สำคัญ มีการตัดยอดจองจากศูนย์ใหญ่มากหลายแห่ง แต่มีแห่งหนึ่ง ต๊ะกันไว้นานมากแล้ว ไม่ยอมจ่ายเงิน และจ่ายของ พอของออกก็ไม่ได้รับของมาเลย แถมติดหนี้อีกบานตะไท (( ผมว่าหากเอ่ยชื่อออกมา หลายคนคงรู้จักแน่ ๆ )) ไม่เอาล่ะไม่บอกดีกว่า

พอเจอแบบนี้ เฮียแกก็หงอยหน่อย เพราะยอดใช่น้อย ๆ เลย ก็สั่งการทันที ให้ผมพร้อมลูกน้องอีก 2 คน เตรียมตัวเป็นนักเลงได้เลยครับ ผมในฐานะน้องชายเฮีย และ คนสนิท 2 คน ออกเดินทาง เพื่อปฏิบัติการ “ทวงหนี้” ครับ

ทวงหนี้ ทวงหนี้ ทวงหนี้ -------- ทำไงหว่า ในชีวิต เคยแต่เป็นหนี้ ไม่เคยต้องทวงหนี้ใครเลย (( ฮ่า ฮ่า ฮ่า ))
“ เฮีย ผมต้องทำไงบ้างล่ะ “ ผมถาม
“ ไม่ต้องทำไรมาก ทำเป็นน้องชายเฮีย แล้วก็เป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดเลยในการเจรจา “ เฮียตอบ
“ ส่วนเรื่องอื่น เฮีย จะจัดชุดคุ้มครองให้ เอาลูกน้องเฮียไป 2 คน คงพอแล้วมั้ง “ (( พูดเหมือนจะส่งไปชายแดนภาคใต้ ))

ก็มีการซักซ้อมคิวกันนิดนึง ว่าหากเจอตัวจะต้องทำไง วางแผนการกันนิดหน่อย เพราะตอนนั้น ต้องไปดักรอที่บ้าน ที่เจ้านี้ซื้อไว้ใหม่ ที่ซื้อได้ เพราะได้ข่าวว่ารวยเพราะจตุคามนั่นแหละ ออกเดินทางโดยรถปิคอัพ มีคนขับ พร้อมคนติดตามอีกคน รวมผมก็เป็น 3 คน บอกตรง ๆ ตอนนั้นก็สั่น ๆ นิดนึง แต่มีคนไปด้วยก็อุ่นใจ มองไปที่เจ้าคนขับรถ ก็รู้จักกันดีนะ คุยกันไปตลอดทาง มองไปที่แถว ๆ เอวมันด้านหลัง เห็นตุง ๆ นิดนึง ก็อดคิดในใจไม่ได้ คิดกลัวไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าคงไม่ต้องถึงกับของใช้ของสิ่งนั้นหรอกนะ ใจจริง ๆ เลยนะไม่อยากออกหน้าแบบนี้หรอก เพราะเราก็มีหน้าที่การงาน แต่ด้วยความที่เราสำนึกในบุญคุณ และเราก็นักเลงเก่า (( คิดเอาเอง อิอิอิ)) ผ่านอะไรมาก็มาก เฉียดตายมาก็หลายครั้ง ฟันแทงกับคนก็เคยมาแล้ว (( ดีนะที่วิ่งหนีทัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า )) ก็ไม่ค่อยจะเกรงเท่าไหร่ แต่ก็ห่วงครอบครัวเหมือนกัน …เอาน่ามาถึงขั้นนี้แล้ว…เริ่มปฏิบัติการ

ออกเดินทางไปถึงซอยบ้านของเจ้าคนนั้น เข้าซอยไปลึกพอควร และซอยก็เปลี่ยว ๆ นิดนึง ตอนนั้นจำได้ว่าไปถึงประมาณ 1 ทุ่ม ตามที่ได้ซักซ้อมกับเฮียไว้ ว่าน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่เจ้าคนนั้นจะกลับมาบ้าน ก็เป็นการคาดเดาเอานะ เพราะว่า ติดต่อไม่ค่อยได้เหมือนกัน ไปถึงก็ขับรถวนนิดนึง ผ่านหน้าบ้าน บ้านยังปิดอยู่ คิดในใจ ต้องหาทางหนีทีไล่ไว้บ้างเผื่อเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้น แต่ก็เฝ้าภาวนาว่าคงไม่เกิดขึ้นหรอก

พอวนได้ที่แล้ว ผมก็สั่งการเลย (( มาเป็นผู้นำในปฏิบัติการนี้นี่หว่า ))

“เฮ้ยยย ศักดิ์ หาที่จอดซุ่มรอดีกว่า” ---- ผมออกคำสั่ง (( เท่ห์ ป่ะล่ะ ))
“ครับพี่” ---- ศักดิ์ตอบ สั้น ๆ แต่ก็ปฏิบัติตามทันที

พอรถจอดได้ที่ได้ทางดีแร่ะ .....

“นันท์ ไปหาอะไรมากินกันดีกว่า เอาตังค์นี่ไป” ----- ผมออกคำสั่งอีกแร่ะ (( เท่ห์ซ้ำสอง แต่ว่าชื่อเจ้าหมอนี่แม่งคุ้น ๆ วะ ชื่อเหมือนไอ้เพื่อนทรยศเลย แอบเคืองชื่อมันนิดนึง ))
“ครับพี่” ---- นันท์ตอบมาสั้น ๆ แล้วก็ลงจากรถไป พร้อมเงินเพื่อไปซื้อของมากินเล่นกัน
“ เอาเบียร์มาด้วยนะนันท์ เผื่อจะย้อมใจบ้าง จะทำงานใหญ่แล้ว” ----- ผมออกคำสั่งอีกรอบ (( ทำหน้าขรึม ๆ ))

ได้ของมาก็กิน ๆ ดื่ม ๆ กันไป มองเวลาไป ผ่านไป 1 ชั่วโมง …….. ผ่านไป 2 ชั่วโมง……..ผ่านไป 3 ชั่วโมง อี๋ยยย ทำไมมันนานมาจังวะ ไม่มาซะที บ่นกันพึมพำเลย ตัดสินใจจะเอาไงดีว่ะเนี่ย

“ศักดิ์ ,นันท์ สงสัยวันนี้จะฟลาวล์ ว่ะ แม่งไม่เห็นเข้าบ้านเลย เอาไงดีวะ จะกลับกันก่อนดีหรือเปล่าเปล่าวะ เดี๋ยวพี่โทรบอกเฮียก่อน”
กำลังจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร สายตาก็มองไปเห็นรถเก๋ง สีขาว ป้ายแดงใหม่เอี่ยมผ่านไป และที่สำคัญ มันเลี้ยวไปจ่อหน้าประตูบ้านเป้าหมายนั่นเอง
“ เฮ้ยยย มันมาแล้วว่ะ “ ให้มันเข้าเปิดประตูบ้านก่อน แล้วก็ลุยเลย ---- ผมบัญชาการทันที

เป็นตามคิด เจ้าคนนั้นลงมาจากรถมาเปิดประตู บ้าน และก็เลี้ยวรถเข้าไป ผมก็เตรียมแสดงตัวทันทีเลย สั่งการให้ศักดิ์เข้าไปเปิดก่อนเลย พอสิ้นเสียงผม ศักดิ์รีบเปิดประตูเดินลงจากรถเข้าไปทันที ปิดประตูดังโครม ด้วยความเกรี้ยวกราด หรือสร้างแรงฮึกเหิมก็ไม่ทราบได้ เพราะตอนนั้น ผมคิดว่าต้องมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นแน่นอน

ระหว่างเดินไป ผมเห็นเจ้าศักดิ์ เอามือจับสิ่งของที่ตุง ๆ ตรงเอวตลอดเวลาเลย พอเข้าประชิดตัวได้ ศักดิ์ ก็ควักเจ้าสิ่งนั้นออกมาทันที พอเจ้าคนนั้นหันหน้ามา ศักดิ์ ก็กึ่งพูดกึ่งตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังเลย
.
.
.
.
.
“ หวัดดีเจ๊ “ ---- ศักดิ์ยกมือไหว้ ในมือก็ควักกระดาษปึกหนึ่ง ออกมาจากเอว มาถือไว้ในมือ

หล่อนตกใจมาก (( อุแม่เจ้า !!! เจ้าคนนั้น เป็นผู้หญิงจ้า อิอิอิ )))))

“ อ้าวศักดิ์ มาทำอะไร มารอเจ๊หราาาา “ ----- หล่อนถามเสียงสั่น ๆ นิดนึง แอบสังเกตได้
“ เฮียให้มาเคลียร์บิลกับเจ๊อ่ะ เพราะติดต่อเจ๊ไม่ได้เลย เนี่ย เฮียให้น้องชายมาด้วย “ ศักดิ์ชี้มาทางผม หล่อนก็ยกมือไหว้ผมอย่างงามเลย
“เอ่ออออ อ้าาาา หน้าตื่น ๆ นิดนึง งั้นเข้ามาคุยในบ้านก่อนแล้วกัน” ------ หล่อนเอ่ยปากเชิญ (( นึกในใจ เจ๊แกก็กล้าเชิญเนอะ ดึก ๆ ดื่น ๆ เชิญผู้ชาย 3 คนเข้าบ้าน พอเข้าไปบ้านก็ถึงบางอ้อ เพราะมีคนรับใช้นอนอยู่ในบ้านอีกคนนึง คงหลับสนิทเลยไม่ได้ออกมาเปิดประตูให้ ))

พอเข้าไปถึง ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ศักดิ์ต่อโทรศัพท์หาเฮียทันที
“ ครับเฮีย เจอตัวแล้ว …. ได้ครับ ๆ “ ------- พูดจบ ศักดิ์ก็ยื่นโทรศัพท์ ให้หล่อนทันที


หล่อนก็เดินไปอีกมุมเจรจากับเฮียผมพักใหญ่ ผมก็สังเกตรอบ ๆ เห็นลังใบใหญ่ ๆ หลายร้อยลังเห็นจะได้นะเต็มบ้านไปหมด ทั้งชั้นล่างชั้นบน ตรงบันได ใต้บันได เรียกว่าอัดแนนไปทุกมุมของบ้านเลย อะไรมันจะเยอะได้ขนาดนั้นนนนนน สำรวจรอบ ๆ บ้านไป หูก็คอยเงี่ยฟังหล่อนตลอดเลย
“ โธ่ เฮีย เห็นใจกันเถอะ นะนะนะ ……. ขอเวลาหน่อย………ไม่เบี้ยวแน่ ๆ ขอเคลียร์ลูกค้าทางนี้ก่อน…….นี่ก็โดนไปเยอะเหมือนกัน” -------- จับใจความได้ประมาณนี้นะ
ซักพัก หล่อนก็เดินมาหาผม พร้อมกับยื่นโทรศัพท์มากให้ บอกว่า เฮียจะคุยกับผม
“ ครับเฮีย …………………………………. สรุปเลยนะ เฮียแจ้งว่า หล่อนไม่มีเงินจะเคลียร์ในวันนี้ เพราะโดนลูกค้าเบี้ยวเหมือนกัน ศูนย์จองที่ภาคใต้ ก็เบี้ยวต่อ ๆ กันมาอีกหลายทอด ไม่รู้จะทำไง ไม่มีเงินจะให้ เรื่องเงินคงจะทยอยผ่อนให้ เฮียแจ้งว่าเรื่องเงินจะให้ศักดิ์ เป็นคนไปตามเก็บเอง ส่วนวันนี้ ให้เจรจาเรื่องของที่จะนำกลับ ก็เป็นของในลัง ๆ นั่นแหละ ดูว่าพอมีอะไรที่เอาไปขายต่อไป ก็ให้ขนกลับไป และเคลียร์ยอดกันไป แต่ให้ผมตัดสินใจ เพราะราคาต้องเป็นราคาที่นำไปออกต่อได้กำไรบ้าง

ผมก็เดินสำรวจรอบบ้านเลย ไม่น่าเชื่อว่าบ้านหลังนี้ จะเต็มไปด้วยลัง “จตุคามรามเทพ” เรียกว่ามีแทบทุกรุ่นเลย แต่ว่าเป็นรุ่นใหม่ ๆ แทบทั้งนั้น ที่ตอนนี้เอาไปออกต่อลำบากแล้ว แต่ก็มีจำพวกพระปะปนอยู่เยอะเหมือนกันนะ ผมก็สั่งการให้ ศักดิ์ กับ นันท์ ค้น รื้อ เปิดดู แทบทุกกล่อง โดยโฟกัสไปว่า ให้ดูจำพวก เนื้อสำคัญ ๆ เช่น เนื้อเงิน เนื้อนวะ หน้ากากเงิน หน้ากากทอง เนื้อก้นครก จำพวกนี้ก่อน และให้ดูประเภทพระเป็นอันดับแรก ๆ เลย ถ้ามีให้แจ้งผม ผมจะเข้าไปดูและตัดสินใจว่าจะขนอะไรกลับได้บ้าง

สรุปคืนนั้น ทั้งรื้อ ทั้งค้น ทั้งขน กันจนตีสอง กว่าจะทั่วบ้าน ได้ของมากองรวม ๆ กัน ดูไปดูมาเหมือนผักเหมือนปลาเลย ไม่ใช่วัตถุมงคลแน่ ๆ หากมองเผิน ๆ ได้เวลาจดยอด เคลียร์ยอดกันล่ะ

จดยอด แจ้งราคา แพคลงกล่อง ขนขึ้นรถ
จดยอด แจ้งราคา แพคลงกล่อง ขนขึ้นรถ
จดยอด แจ้งราคา แพคลงกล่อง ขนขึ้นรถ

ทำกันอยู่อย่างนั้น จนได้ลังเกือบเต็มท้ายกระบะ น่าจะประมาณ 30 – 40 ลังเห็นจะได้ ก็ได้ตามที่ผมคิดไว้ทุกอย่าง ได้เนื้อหลัก ๆ ได้พระมาพอสมควร หลาย ๆ รุ่น แต่ก็เป็นรุ่นใหม่ ๆ ที่เปิดให้จองกันทั่วไป ก็ต้องแล้วแต่อนาคต ว่าราคาจะเป็นยังไง

เล่าถึงตอนนี้ หลายท่านคงพอมองภาพเหตุการณ์ช่วงนั้นออกนะ จตุคามรามเทพ ท่านมาเร็วและแรง เวลาตก ก็ทำให้หลาย ๆ คนน้ำตาตกกันเป็นแถว ๆ บางคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะหลงระเริงไปกับท่าน จองมันทุกรุ่นทุกแบบ จนสุดท้ายไม่เหลือเป็นเงินเลย เหลือแต่ของทั้งนั้น แต่เฮียของผมค่อนข้างโชคดี เพราะไม่ได้เจ็บตัวมากมายอะไร เพราะแกเป็นมือต้น ๆ ทำกำไรช่วงแรกได้มากหลายเท่าตัว และตอนปลายมือ ก็โชคดี มาได้มือขายที่ขยันอย่างผม เป็นเรี่ยวแรงอีก (( แอบชมตัวเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า))

บางคนถึงกับสาปส่ง หมดความนับถือองค์จตุคามรามเทพไปเลยก็มีให้เห็น บ่น ด่า กันสารพัด แต่ก่อนหน้านั้นตอนท่านแรง ๆ ผมไม่เห็นจะบ่นว่ากันเลย มีแต่อยากได้ อยากได้ อยากได้ ก็ไม่รู้ว่าความอยากได้ มันมาจากก้นบึ้งที่ศรัทธากันจริง ๆ หรือ เห่อไปตามกระแส โดยเอาศรัทธามาบังหน้าก็ไม่รู้ แต่ผมก็ยืนยันนะ ว่ายังศรัทธาในองค์ท่านเสมอมา ยังมีรูปบูชาอยู่ที่บ้าน มีผ้ายันต์ผืนใหญ่ติดไว้หน้าประตู เป็นเพราะท่านนั่นแหละ ที่ทำให้ผมมีวันนี้ ก็ไม่รู้ด้วยเพราะอะไรนะ อาจจะเป็นความโชคดีของผมก็เป็นได้ หรือ เป็นบุญเก่าในชาติที่แล้ว หรือเป็นบุญปัจจุบันที่เรารักครอบครัว กตัญญูต่อบุพการี ก็ไม่อาจทราบได้ แต่ก็นั่นแหละ มันก็เป็นช่วงเวลาในชีวิตหนึ่งที่ได้ผ่านเข้ามา

ได้นั่งเครื่องบินครั้งแรก
ได้ไปไหว้องค์จริงของท่าน
ได้เป็นคนทวงหนี้คนอื่น
ได้อะไรอีกหลาย ๆ อย่าง
ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ก็ได้ในสิ่งที่ผมใฝ่ฝันมานาน สิ่งนั้น !!!!!

มันคืออะไรหรือ …………………….. ???? ไว้ติดตามกันตอนต่อไปนะครับ

`เหมือนเดิมครับ ชอบกด LIKE ใช่กด LOVE ให้กันเหมือนเดิมนะครับ

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM